วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่องย่อ ศึกเทพยุทธภูผาซู (The Legend of Zu)




กำกับ: หวงเหว่ยเจี๋ย (ริกกี้ หว่อง - ชาวฮ่องกง), เหลียงกั๋วกวาน (ชาวฮ่องกง),  ซูเฟย
เขียนบท: หม่าเยี่ยน, หลี่จิงหลิง, เจียงหลาย, หลินลี่อิ่ง
แนวละคร: แฟนตาซี, กำลังภายใน, โรแมนติก, ดราม่า
จำนวนตอน: 56
ออกอากาศ: จีน - (ครั้งแรก) 22 กันยายน 2558 ทางวิดีโอไซต์ อ้ายฉีอี้ (iQIYi)
                             ส่วนทางทีวี เริ่ม 16 มกราคม 2559 ทางอันฮุยทีวี
                  ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.20 น. ทางช่องวัน 31 ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2559 - 30 กรกฎาคม 2559

ละคร "ศึกเทพยุทธภูผาซู" (The Legend of Zu / สู่ซานจ้านจี้จือเจี้ยนเสียจ้วนฉี) ผลิตโดย บริษัท เจียงซู สตรอว์ แบร์ ฟิล์มส (Jiangsu Straw Bear Films Ltd) ของนักแสดง นักร้อง และโปรดิวเซอร์ ชาวไต้หวัน  "อู๋ฉีหลง (นิคกี้ อู๋)" บริษัทดังกล่าวก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน โดยมี "หลิวซือซีอ" (นักแสดงสาวชาวจีนและภรรยาอู๋ฉีหลง) กับ "จ้าวลี่อิง" (นักแสดงชาวจีนและนางเอกเรื่องนี้) ร่วมถือหุ้นด้วย

เรื่องย่อ



สำนักดาบสู่ซานเป็นเจ้ายุทธภพที่ขึ้นชื่อทั้งในเรื่องฝีมือและความมีคุณธรรมมาช้านาน เพื่อปกป้องโลกให้รอดพ้นจากเงื้อมมือจอมมาร เจ้าสำนักสู่ซานจึงฝากหินวิญญาณแดงไว้ในร่างของ "ติงอิ่น" ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นร่างสถิตของหินวิญญาณแดง ติงอิ่นเลยฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักดาบสู่ซานโดยให้คำมั่นว่าจะปกป้องโลกจากจอมมารและภยันตรายต่างๆ นานา ต่อมาติงอิ่นได้พบกับ  "อวี้อู๋ซิน"  ซึ่งเป็นลูกสาวจอมมารที่มีหน้าตาเหมือน "เสี่ยวอวี้" ภรรยาผู้ล่วงลับของเขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน เดิมทีต่างคนต่างคิดที่จะหลอกใช้อีกฝ่าย (อวี้อู๋ซินต้องการหินวิญญาณแดงในตัวติงอิ่น ส่วนติงอิ่นต้องการใช้อวี้อู๋ซินเป็นใบเบิกทางเข้าหาจอมมารลวี่เผา) แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันทำให้เรื่องราวต่างๆ ยิ่งทวีความซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น มิหนำซ้ำสำนักดาบสู่ซานยังต้องเผชิญทั้งศึกนอกศึกในจนส่งผลให้ยุทธภพเริ่มสั่นคลอน 

สุดท้ายแล้วสงครามระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมใครจะเป็นผู้ชนะ ติงอิ่นจะปราบจอมมารได้สำเร็จหรือไม่ ความรักของเขากับลูกสาวจอมมารจะลงเอยอย่างไร เหล่าบรรดาศิษย์สู่ซานจะรักษามิตรภาพเอาไว้ได้หรือไม่ ติดตามชมได้ใน  "ศึกเทพยุทธภูผาซู (The Legend of Zu)" ทางช่องวัน 31

เนื้อหาตอนที่ 1-3



ซ้าย: ชือโหยว / ขวา: หวงตี้

ละครเปิดฉากขึ้นในยุค "สามราชาห้าจักรพรรดิ" (ราว 2852 - 2070 ปีก่อนคริสตกาล) โดยกล่าวถึงเรื่องราวของ "ชือโหยว" ผู้นำเผ่าจิ่วหลี ซึ่งมีพี่น้องทั้งหมด 81 คน ตามตำนานเล่าขานว่าพวกเขามีร่างเป็นอสูร พูดจาภาษามนุษย์ มีศีรษะเป็นทองแดง หน้าผากเป็นเหล็ก กินทรายและหินเป็นอาหาร พวกเขาสามารถผลิตอาวุธชนิดต่างๆ รวมทั้งดาบด้ามยาว และหน้าไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ กิตติศัพท์อันน่าเกรงขามของพวกเขาทำให้โลกหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ชือโหยว" ที่มักเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม เหล่าทวยราษฎร์จึงขอให้ฮ่องเต้ (หวงตี้) ช่วยปราบปราม ในที่สุดชือโหยวก็สิ้นชื่อในสงครามโจวลู่ หลังจากนั้นโลกจึงสงบสุขและเป็นปึกแผ่น 

เกร็ดความรู้  

 "สามราชาห้าจักรพรรดิ" (ซานหวงอู่ตี้)  หมายถึง กลุ่มเทพและผู้ปกครองในตำนานจีนโบราณ ซึ่ง "ซือหม่าเจิน" นักบันทึกประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ถัง ระบุว่า "สามราชา" ประกอบด้วย ราชาแห่งสวรรค์ "ฝูซี", ราชาแห่งโลก "เจ้าแม่หนี่วา" และราชาแห่งมนุษย์ "เสินหนง" ส่วน "ห้าจักรพรรดิ ประกอบด้วย หวงตี้, จวนซวี, ตี้คู่,  เหยา และ ตี้ซุ่น 

** "ชือโหยว" เป็นผู้นำเผ่าจิ่วหลีในยุคจีนโบราณ มีพี่น้อง 81 คน (บางตำรากล่าวว่าตัวเลข 81 คือจำนวนตระกูลในเผ่าจิ่วหลี) แม้เขาจะเป็นที่รู้จักในฐานะทรราชย์ที่รบพ่าย "หวงตี้" (จักรพรรดิเหลือง) ในสงครามโจวลู่ (เมืองโจวลู่ก่อตั้งโดยหวงตี้ กล่าวกันว่าเป็นบ้านเกิดของชนเผ่าเหมียว (แม้ว) ปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้บริเวณรอยต่อระหว่างมณฑลเหอเป่ยกับเหลียวหนิง) แต่ก็มีผู้คนมากมายยกย่องบูชาชือโหยวในฐานะ "เทพแห่งสงคราม"  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวม้ง (เป็นกลุ่มย่อยของชนเผ่าเหมียว) ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าจิ่วหลี ต่างยกย่องว่าชือโหยวคือผู้นำที่ฉลาดหลักแหลมและเชื่อว่าเขาคือบรรพบุรุษของพวกตนตราบจนทุกวันนี้ หลังชือโหยวถูกหวงตี้ฆ่าตาย ดินแดนของเผ่าจิ่วหลีก็ถูกหวงตี้ยึดครอง เหล่าบรรดาชาวม้งจึงถูกบังคับให้ขึ้นไปตั้งรกรากอยู่บนภูเขานอกอาณาจักรจิ่วหลี อย่างไรก็ตาม มีการนำเรื่องราวของชือโหยวมาเล่าขานเป็นตำนานต่างๆ นานา หนึ่งในนั้นก็คือตำนานที่ว่า เขามีหัวเป็นสัมฤทธิ์ หน้าผากเป็นโลหะ มี 4 ตา 6 แขน ทุกแขนถืออาวุธแหลมคม และมีพี่น้องทั้งหมด 81 คน 

หลังถูกฮ่องเต้กวาดล้าง ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและกระหายเลือดของพี่น้องทั้ง 81 คนต่างไม่มีที่สิงสถิต พวกเขาจึงเข้าไปสิงอยู่ในหินประหลาดก้อนหนึ่ง หลังผ่านไปนานกว่าหนึ่งพันปี หินก้อนนี้ได้ดูดซับพลังสวรรค์ ปฐพี ตะวัน และจันทรา จนกลายเป็นหินวิเศษสีแดงฉานที่มีพลังและจิตวิญญาณแรงกล้า เหล่าคนรุ่นหลังจึงขนานนามหินก้อนนี้ว่า "หินวิญญาณแดง" (ชื่อหุนสือ) มีตำนานเล่าขานว่า หินวิญญาณแดงมีพลังมหาศาลซ่อนอยู่ภายใน พลังที่ว่าจะปรากฏออกมาทุกๆ 24 ปี เมื่อถึงเวลานั้นใครก็ตามที่ครอบครองหินก้อนนี้จะกลายเป็นผู้ที่มีพลังยุทธสูงส่งเหนือทุกคนในใต้หล้า แต่ถ้าคนผู้นั้นมีจิตใจอ่อนแอไม่หนักแน่นก็จะแปดเปื้อนไอมารและพลังแห่งวิญญาณอันชั่วร้าย ทำให้มีความโลภมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกจิตมารเข้าครอบงำในที่สุด


กว่าพันปีที่ผ่านมา ผู้คนมากมายถูกความโลภบังตาจึงเข่นฆ่ากันไม่หยุดหมายแย่งชิงหินวิญญาณแดง ต่อมาหินก้อนดังกล่าวตกอยู่ในความครอบครองของนักพรตเต๋านามว่า "ไท่ชิง" ซึ่งเป็นผู้ที่มีตบะแก่กล้าและจิตใจหนักแน่นเกินใคร เขาไม่เพียงเอาชนะจิตวิญญาณอันชั่วร้าย แต่ยังดูดซับพลังจากหินวิญญาณแดงมาไว้ในตัวจนมีพลังยุทธสูงส่ง หลังจากนั้นจึงก่อตั้ง "สำนักดาบสู่ซาน" ขึ้น นักพรตไท่ชิงเกรงว่าหินวิญญาณแดงจะนำภัยพิบัติร้ายแรงมาสู่โลกมนุษย์ จึงใช้พลังสวรรค์และปฐพีของสำนักดาบสู่ซานปิดผนึกหินวิญญาณแดงเอาไว้ภายในภูเขาสู่ (สู่ซาน) โดยมีเจ้าสำนักรุ่นแล้วรุ่นเล่าคอยปกป้องดูแล (ถึงแม้สำนักดาบสู่ซานจะซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขาสูง แต่ก็มีชื่อเสียงขจรขจายและเป็นที่ยกย่องชื่นชมของเหล่าจอมยุทธ์ทั่วหล้า)

240 ปีต่อมา ซึ่งตรงกับช่วงปลายของราชวงศ์หมิง อันเป็นยุคที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้งและสับสนวุ่นวาย (ครบรอบเวลาที่พลังของหินวิญญาณแดงจะปะทุออกมาพอดี) 


ชายชุดดำคนหนึ่งลอบเข้ามาขโมยหินวิญญาณแดงที่สำนักดาบสู่ซาน ในตอนนั้น "จูเก่ออวี้หว่อ" กำลังจะเข้าพิธีรับตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ แต่เขากลับยังคงอยู่ที่ยอดเขาชีเสีย (ตำหนักใหญ่ของสำนักดาบสู่ซานตั้งอยู่บนยอดเขาหลิงอวิ๋น"กงซุนอู๋หว่อ" และ "เสี่ยวหรูเจินเหริน" จึงรีบมาตามเขาไปเข้าพิธี โดยบอกว่านอกจากศิษย์พี่ไป๋เฉ่า (เซียนสมุนไพร) กับศิษย์พี่เมี่ยวอี (หลวงจีนเมี่ยวอี) ที่ได้รับมอบหมายให้ออกไปทำภารกิจนอกสำนักแล้ว ในตอนนี้ศิษย์สู่ซานทั้งหมดต่างมารวมตัวที่ตำหนักใหญ่โดยพร้อมเพรียงกัน เมื่ออวี้หว่อถามถึง "ซู่อิน" เสี่ยวหรูตอบว่าตนไม่เห็นซู่อินตั้งแต่เช้า ส่วนอู๋หว่อบอกว่าก่อนมาที่นี่ตนเพิ่งเห็นซู่อินสวมชุดแต่งงานจึงคาดว่านางคงทำใจได้แล้ว  อวี้หว่อเห็นมงกุฏเจ้าสาวยังคงวางอยู่ในห้องจึงอดหวั่นใจไม่ได้



จูเก่ออวี้หว่อซึ่งเป็นศิษย์รุ่นที่ 70 ของสำนักดาบสู่ซาน ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่หลังอดีตเจ้าสำนักซึ่งบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ละสังขาร นอกจากจะต้องปกครองสำนักอย่างมีคุณธรรมและรักษาชื่อเสียงที่สร้างสมมาเนิ่นนานแล้ว อวี้หว่อยังต้องปกป้องโลกจากภัยพิบัติและป้องกันไม่ให้หินวิญญาณแดงถูกแย่งชิงไปจากสำนักดาบสู่ซานอีกด้วย ขณะกำลังเข้าพิธีรับตำแหน่ง อยู่ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาในงาน จูเก่ออวี้หว่อทั้งตกใจและแปลกใจเมื่อพบว่าผู้บุกรุกคือ ศิษย์น้อง "ซ่างกวนจิ่งหว่อ" ซึ่งถูกอาจารย์จองจำเอาไว้ที่หุบเขาปราบมาร

ความจริงแล้ววันนี้จิ่งหว่อนัดพบซู่อินซึ่งเป็นทั้งศิษย์น้องและคนรักของตนที่เชิงเขาทางด้านล่างโดยวางแผนว่าจะหนีตามกัน แต่จิ่งหว่อถือโอกาสลอบขึ้นเขาเพื่อขโมยหินวิญญาณแดง ก่อนบุกเข้าไปทำลายพิธีแต่งตั้งเจ้าสำนักด้วยความโกรธแค้น เดิมที จูเก่ออวี้หว่อ (พี่ใหญ่), กงซุนอู๋หว่อ (พี่รอง) และซ่างกวนจิ่งหว่อ (น้องเล็ก) เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักกันมากและถูกขนานนามว่า "สามวีรบุรุษสู่ซาน"... หลังร่วมมือกันปราบมารแดนตะวันตก (มารซี-อวี้) อวี้หว่อได้รับการยกย่องเยี่ยงวีรบุรุษและถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าสำนัก แต่จิ่งหว่อกลับต้องเสียแขนข้างหนึ่งและถูกจองจำในหุบเขาปราบมารโดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

อวี้หว่อพยายามอธิบายว่าที่อาจารย์ทำลงไปทั้งหมดเพราะต้องการช่วยให้จิ่งหว่อพ้นเคราะห์หนัก จิ่งหว่อสวนกลับว่าเคราะห์หนักของตนไม่ใช่อวี้หว่อหรอกหรือ เขากล่าวว่าทุกคนในสำนักต่างรู้ดีว่าฝีมือตนไม่เป็นรองใคร และการปราบมารในครั้งนี้ตนยังมีผลงานมากที่สุด แต่อวี้หว่อกลับได้รับความดีความชอบไปเต็มๆ ซ้ำยังคิดพรากคนรักไปจากตนด้วยการบังคับให้ซู่อินแต่งงานอีกด้วย (อวี้หว่อจะแต่งงานกับซู่อินหลังเสร็จสิ้นพิธีรับตำแหน่ง)



ทุกคนต่างพากันตกใจเมื่อรู้ว่าหินวิญญาณแดงตกอยู่ในมือของจิ่งหว่อ ทั้งยังไม่นึกฝันว่าจิ่งหว่อจะแอบฝึกวิชาเงาโลหิตซึ่งเป็นวิชาต้องห้ามอย่างลับๆ แม้ศิษย์ทุกคนของสำนักดาบสู่ซานจะช่วยกันรับมือจิ่งหว่อแต่ก็ไม่อาจต่อกรกับพลังหินวิญญาณแดงที่อยู่ในตัวเขาได้ จิ่งหว่อจะฆ่าศิษย์พี่อวี้หว่อ  อู๋หว่อ และเสี่ยวหรู แต่ซู่อินเข้ามาห้ามและบอกว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของเขา จิ่งหว่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มสงบลง อู๋หว่อวางแผนโจมตีซู่อินเพื่อให้จิ่งหว่อเสียสมาธิและเปิดโอกาสให้อวี้หว่อช่วงชิงหินวิญญาณแดงกลับคืนมา แม้จะไม่เห็นด้วยกับการทำร้ายศิษย์น้องแต่อวี้หว่อไม่มีทางเลือกเพราะจำเป็นต้องเห็นแก่ส่วนรวม

ในที่สุด อวี้หว่อก็แย่งหินวิญญาณแดงกลับคืนมาได้ (แต่ทว่ามีสะเก็ดหินเล็กๆ ชื้นหนึ่งหลุดกระเด็นหายไปพร้อมจิตวิญญาณส่วนหนึ่ง) หลังดูดซับพลังหินวิญญาณแดงมาไว้ในตัวแล้ว อวี้หว่อก็มีพลังภายในเพิ่มขึ้นมหาศาลและถูกจิตมารเข้าครอบงำ จิ่งหว่อเห็นอวี้หว่อ กวัดแกว่งดาบหมายทำร้ายตนกับซู่อินจึงรีบเอาตัวบังซู่อินไว้ พลังภายในที่ถูกซัดออกมาจากดาบไม่เพียงทำให้ทั้งคู่บอบช้ำอย่างหนักแต่ยังทำให้ใบหน้าของจิ่งหว่อมีบาดแผล ซู่อินเห็นว่าพวกตนเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจึงบอกให้จิ่งหว่อยอมจำนนต่อโชคชะตา จิ่งหว่อแค้นใจที่แม้แต่ซู่อินและลูกในท้องก็ยังถูกศิษย์พี่ทำร้าย จึงลั่นวาจาว่าหากวันนี้ตนรอดตายสำนักดาบสู่ซานจะต้องใช้เลือดล้างหนี้เลือด พูดจบเขาก็พาซู่อิ่นกระโดดลงจากหน้าผา (แต่ไม่มีใครพบร่างของทั้งคู่)

หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดบนยอดเขาหลิงอวิ๋น อวี้หว่อก็เก็บตัวเงียบบนผาหนิงปี้ตลอดทั้งปีเพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรมากระตุ้นพลังอันชั่วร้ายของหินวิญญาณแดง ขณะเดียวกันก็ฝึกจิตบำเพ็ญตนให้แข็งแกร่งเพื่อจะได้ต้านทานพลังอันมหาศาลของหินวิญญาณแดงที่อยู่ในตัวได้ ด้วยเหตุนี้อู๋หว่อจึงรับผิดชอบดูแลเรื่องราวต่างๆ ภายในสำนักแทน ขณะเดียวกันสำนักดาบสู่ซานและศิษย์ต่างสำนักได้ร่วมกันออกตามหาสะเก็ดหินและจิตวิญญาณที่หายไป แต่กลับไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ จนกระทั่งวันเวลาผ่านพ้นไป 24 ปี

ก่อนที่หินวิญญาณแดงจะสำแดงพลังอีกครั้ง อยู่ๆ โลกก็เข้าสู่ภาวะทุกข์เข็ญเมื่อประชาชนจำนวนมากต่างพากันล้มตายด้วยโรคประหลาด แต่ทางการกลับคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นโรคระบาดตามฤดูกาลจึงไม่ให้ความสำคัญมากนัก



ณ หมู่บ้านว่ออวิ๋น ใกล้เขตเขาสู่ซานในเมืองหยางเฉิง  "ติงต้าลี่" เกิดอาการคลุ้มคลั่ง พังข้าวของ และตรงเข้าทำร้ายผู้คนในหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านไม่อาจต้านทานพละกำลังอันมหาศาลของต้าลี่ได้จึงคิดที่จะยิงธนูใส่แขนเขา หมายหยุดยั้งความคลุ้มคลั่งและป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายผู้คนมากไปกว่านี้ แต่ "เสี่ยวอวี้" ภรรยาของต้าลี่ห้ามเอาไว้ เธอเดินเข้าไปหาและเผชิญหน้ากับสามีที่มองเธอตาขวางพลางเรียกให้เขาฟื้นคืนสติด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม พอเห็นต้าลี่เงื้อแขนหมายทำร้าย เสี่ยวอวี้ก็รีบสวมกอดต้าลี่และร้องบอกว่าเธอคือภรรยาของเขา ไม่นานต้าลี่ก็สงบลงและกลับมามีสติสัมปชัญญะดังเดิม  

พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นต้าลี่ก็รีบสำรวจดูว่าเสี่ยวอวี้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ จากนั้นก็ขอโทษเธอและเหล่าชาวบ้านโดยบอกว่าพรุ่งนี้ตนจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมารักษาอาการบาดเจ็บของทุกคน นอกจากจะไม่ถือโทษโกรธเคืองแล้วเหล่าชาวบ้านยังเป็นห่วงที่อาการของต้าลี่หนักขึ้นถึงขั้นขาดสติและจำใครไม่ได้เลย เพื่อนบ้านคนหนึ่งกล่าวว่าพวกตนบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เกรงว่าคราวหน้าต้าลี่อาจมีอาการกำเริบหนักเช่นนี้อีก (อาการของเขาจะกำเริบเดือนละครั้ง) เขาจึงแนะผู้ใหญ่บ้านว่าหากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ควรอนุญาตให้เสี่ยวอวี้พาต้าลี่ออกไปหาหมอนอกหมู่บ้าน  ทำให้ต้าลี่ซาบซึ้งใจที่ทุกคนไม่รังเกียจทั้งยังเป็นห่วงตน 



ในเวลาเดียวกันนั้น สองศิษย์สู่ซาน "ตานเฉินจื่อ" และ "จูเก่อจื่ออิง" (ลูกสาวอวี้หว่อ) ได้รับมอบหมายให้ลงเขามาสืบหาสาเหตุและที่มาของโรคระบาด แต่แล้วกลับพบว่าผู้คนไม่ได้ล้มตายเพราะโรคระบาดแต่ถูก "ถูเหม่ย" ซึ่งเป็นนางมารที่มีร่มเป็นอาวุธและเชี่ยวชาญด้านการร่ายมนต์เสน่ห์ (น้องสาวจอมมารประจิม "ถูปา") ดูดวิญญาณและสูบเลือดจนหมดตัว  ถูเหม่ยยังฝากทั้งคู่ไปบอกอวี้ หว่อว่า ตนกับ "ลวี่เผาจุนเจ่อ" (จอมมารเสื้อคลุมเขียว) จากพรรคมารเลี่ยอิ่งเสินในแดนตะวันตก กำลังจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้สำนักดาบสู่ซาน  เฉินจื่อและจื่ออิงจึงส่งข่าวไปบอก "โจวชิงอวิ๋น" หนึ่งในศิษย์สู่ซานที่พำนักอยู่บนยอดเขาชีเสีย (สู่ซานประกอบด้วย 5 ทิวเขาและ 9 ยอดเขา) ชิงอวิ๋นเลยรีบไปรายงานอู๋หว่อซึ่งเป็นหนึ่งในอาจารย์ของเธอ



อู๋หว่อแปลกใจเพราะไม่เคยได้ยินชื่อพรรคเลี่ยอิ่งเสิน (พรรคเงาเทพอำมหิต) มาก่อน แม้แต่ "หลวงจีนเมี่ยวอี" ก็รู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในยุทธภพมีจอมมารชื่อลวี่เผา เสี่ยวหรูกล่าวว่ามารพวกนี้ฝ่ามนตร์ปิดผนึกแดนตะวันตกออกมาจึงไม่ใช่เรื่องดีแน่ และเนื่องจากไม่มีใครเคยได้ยินหรือรู้จักมารจากพรรคเลี่ยอิ่งเสิน อู๋หว่อจึงคิดที่จะเรียกตัวเฉินจื่อและจื่ออิงกลับสำนักเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เพราะมีเพียงสองคนนี้ที่เคยพบและประมือกับคนของพรรคเลี่ยอิ่งเสิน ชิงอวิ๋นอาสาออกไปตามตัวศิษย์พี่ทั้งสองด้วยตนเอง หลวงจีนเมี่ยวอีจึงให้ลูกศิษย์นามว่า "ชีเอ๋อร์" ไปเป็นเพื่อนชิงอวิ๋น

เสี่ยวหรูเห็นว่าเบื้องล่างเขาสู่ซานกำลังเกิดเรื่องวุ่นๆ จึงปรึกษาอู๋หว่อว่าควรไปขอให้เจ้าสำนัก (อวี้หว่อ) มาช่วยดีไหม อู๋หว่อเห็นว่าอีกไม่นานก็จะครบรอบปีที่ 24 อีกครั้งแล้ว แต่ดวงจิตของหินวิญญาณแดงที่หลุดหายไปยังไม่หวนกลับคืน ดังนั้น การควบคุมพลังมารและจิตวิญญาณอันชั่วร้ายในหินจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เขาเลยไม่อยากรบกวนหรือเพิ่มภาระให้เจ้าสำนักอีก



คืนนั้น ต้าลี่ เสี่ยวอวี้ และชาวหมู่บ้านว่ออวิ๋น ร่วมกันปล่อยโคมลอยและอธิษฐานขอพร หลังอธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกันแล้ว ต้าลี่ก็อวดปิ่นปักผมรูปดอกไม้พลางบอกว่าปิ่นอันนี้จะอยู่กับเสี่ยวอวี้ของตนตลอดไป เขาจะนำปิ่นมาประดับผมให้เสี่ยวอวี้แต่ยังไม่ทันได้ปักก็เกิดเรื่องวุ่นๆ ขึ้นมาเสียก่อน เพราะอยู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้าบุกเข้ามาขโมยไก่ของชาวบ้าน หลังถูกจับได้ชายคนดังกล่าวก็รีบบอกว่าตนเป็นคนดีและขอร้องว่าอย่าทุบตีตน เขากล่าวว่าตนหนีตายมาจากหมู่บ้านที่มีโรคระบาด ทุกคนในหมู่บ้านตายหมดแล้วเหลือเพียงตนที่ยังอยู่รอด ตนเลยต้องออกมาหาอาหารประทังชีวิตโดยจะขอแวะพักที่หมู่บ้านแห่งนี้เพียงคืนเดียว ผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าเขาเป็นคนจรหมอนหมิ่นที่อาจนำโรคระบาดมาแพร่ในหมู่บ้านของตนจึงปฏิเสธที่จะให้ที่พักพิง

ต้าลี่เห็นว่าชายคนดังกล่าวกำลังหิวโซจึงชวนไปทานข้าวที่บ้านตน แต่เสี่ยวอวี้และคนในหมู่บ้านไม่เห็นด้วยเพราะชายคนดังกล่าวอาจเป็นพาหะของโรค ต้าลี่เชื่อว่าชายแปลกหน้าไม่ได้ป่วยเพราะถ้าป่วยเขาคงไม่หิวจนท้องร้องขนาดนี้ ที่สำคัญเนื้อตัวเขาไม่มีร่องรอยของโรคใดๆ ถึงกระนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ยังแย้งว่าชายผู้นี้ทำลายพิธีปล่อยโคมลอยของพวกตนจึงถือว่าเป็นตัวอัปมงคลที่จะนำภัยมาสู่หมู่บ้าน  ต้าลี่กล่าวว่าถึงกระนั้นชายผู้นี้ยังต้องการอาหารอยู่ดีแถมก่อนหน้านี้พวกตนก็ทำพิธีใกล้เสร็จแล้ว พูดจบต้าลี่ก็พาชายคนดังกล่าวไปที่บ้านทันที


ในเวลาเดียวกันนั้นชิงอวิ๋นกับชีเอ๋อร์ก็กำลังเดินทาง (เหาะ) ไปหาศิษย์พี่ทั้งสอง  ชิงอวิ๋นรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นไอปีศาจในป่าใกล้ๆ หมู่บ้านว่อ อวิ๋น ชีเอ๋อร์จึงชวนเธอลงไปสำรวจดูทำให้ถูกลอบโจมตี โชคดีที่จื่ออิงมาช่วยเอาไว้ได้ทัน ปรากฏว่าคนที่ลอบโจมตีคือมาร  "จิ่วถูเสินจวิน" (ราชาเทวะเก้าพิษ) ซึ่งมีไม้เท้ารูปงูเป็นอาวุธคู่กาย เขามีพิษสงรอบตัวและมีเพลงยุทธล้ำเลิศจนยากที่จะต่อกร โชคดีที่เฉินจื่อซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ตามมาสมทบได้ทันเวลา

หลังอดอยากมานาน ในที่สุดชายเร่ร่อนก็ได้กินเซี่ยนปิ่ง (ลักษณะคล้ายพายหรือแพนเค้กทอด ไส้ทำจากเนื้อสัตว์และผัก) เป็นอาหารมื้อแรกสมใจ เขาบอกต้าลี่กับเสี่ยวอวี้ว่าตนชื่อ "จางเซี่ยนปิ่ง" และเซี่ยนปิ่งก็เป็นอาหารจานโปรดของตน    ต้าลี่บอกเซี่ยนปิ่งว่าตนเป็นเด็กกำพร้าจึงรู้เพียงว่าตนเองแซ่ติง ทุกคนเห็นว่าตนมีพละกำลังมหาศาลจึงเรียกตนว่าติงต้าลี่ (ต้าลี่แปลว่าทรงพลัง) เซี่ยนปิ่งสงสัยว่าทำไมต้าลี่ถึงช่วยตนทั้งๆ ที่ทุกคนในหมู่บ้านคัดค้าน ต้าลี่กล่าวว่าตนไม่ชอบเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หากช่วยได้ตนก็ยินดีช่วย เซี่ยนปิ่งกล่าวว่าโลกนี้มีคนทุกข์ยากมากมาย ต้าลี่ไม่มีทางช่วยทุกคนได้แน่ ต้าลี่กล่าวว่าถ้าช่วยได้หนึ่งคน จำนวนคนทุกข์ยากก็จะลดลงหนึ่งคน เซี่ยนปิ่งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ทั้งยังรู้สึกอิจฉาต้าลี่ที่มีภรรยาสวย เขาเล่าว่าตนก็เป็นเด็กกำพร้าเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ตนยังไม่เคยสัมผัสมือผู้หญิงเลยสักครั้ง ตนตั้งใจเอาไว้ว่าหากวันใดได้พบสตรีที่เต็มใจกอดตน ตนจะปฏิบัติต่อนางเหมือนที่ต้าลี่ทำกับเสี่ยวอวี้ 


เฉินจื่อสงสัยว่าชิงอวิ๋นลงเขามาทำไม ชิงอวิ๋นตอบว่าอาจารย์ให้ตนมาตามศิษย์พี่ทั้งสองกลับสำนักเพราะอยากรู้ข้อมูลของพรรคมาร นึกไม่ถึงว่าตนจะได้เจอมารตัวเป็นๆ ตนเลยคิดที่จะจับไปให้อาจารย์ดู จิ่วถูตัดบทว่าตนกำลังยุ่งจึงไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับทุกคน พูดจบเขาก็หนีไปทันที ชิงอวิ๋นเชื่อว่าชายลึกลับผู้นี้น่าจะมีตำแหน่งสำคัญในพรรคมาร ชีเอ๋อร์เห็นของบางอย่างตกอยู่ที่พื้นจึงชี้บอกทุกคน ชิงอวิ๋นจะรีบเข้าไปเก็บแต่เฉินจื่อห้ามเอาไว้โดยบอกว่าชายเมื่อสักครู่เนื้อตัวเต็มไปด้วยพิษ ของสิ่งนี้จึงน่าจะมีพิษด้วยเช่นกัน

อยู่ๆ ก็มีข้อความปรากฏขึ้นต่อหน้าศิษย์สู่ซานทั้งสี่ (เป็นข้อความที่คนของพรรคมารส่งถึงกัน) พอรู้ว่าจิตวิญญาณที่หายไปเมื่อ 24 ปีก่อนอยู่ที่หมู่บ้านว่ออวิ๋นซึ่งห่างจากที่นี่ราว 30 ลี้ (15 กิโลเมตร) เฉินจื่อกับศิษย์น้องจึงรีบเดินทางไปที่หมู่บ้านว่ออวิ๋นโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแผนของพรรคมาร



เซี่ยนปิ่งแอบเข้าไปสำรวจในห้องๆ หนึ่งและฉวยโอกาสขโมยถุงเงิน เสี่ยวอวี้เดินตามเซี่ยนปิ่งเข้าไปในห้องและจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดัน จากนั้นก็บอกให้เซี่ยนปิ่งรีบกินรีบไปเพราะคนที่นี่ไม่ต้อนรับเขา เช้าวันรุ่งขึ้นต้าลี่เดินไปส่งเซี่ยนปิ่งที่นอกประตูหมู่บ้าน ซ้ำยังเตรียมของโปรดไว้ให้เขากินระหว่างเดินทาง หลังกล่าวคำอำลาเซี่ยนปิ่งบังเอิญทำถุงเงินตก แม้จะเห็นกับตาว่าเซี่ยนปิ่งขโมยถุงเงินของตน แต่ต้าลี่กลับไม่ต่อว่าเขาสักคำทั้งยังก้มหยิบถุงเงินมาใส่มือเซี่ยนปิ่ง ทำให้เซี่ยนปิ่งทั้งซาบซึ้งและรู้สึกละอายใจ 

ทันใดนั้น หมู่บ้านว่ออวิ๋นก็ถูกไฟลุกไหม้จนกลายเป็นทะเลเพลิง ต้าลี่รีบวิ่งกลับเข้าไปในหมู่บ้านพลางร้องหาเสี่ยวอวี้ ปรากฏว่าคนในหมู่บ้านถูกฆ่าตายจนหมด และคนที่นำกำลังมาถล่มหมู่บ้านว่ออวิ๋นจนราบเป็นหน้ากลองก็คือจิ่วถูนั่นเอง แม้จะถูกจิ่วถูทำร้ายแต่สายตาของต้าลี่ยังคงจับจ้องไปยังบ้านของตนที่กำลังถูกไฟไหม้และพยายามวิ่งฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปหาเสี่ยวอวี้ทางด้านใน เซี่ยนปิ่งเห็นว่าต้าลี่กำลังจะถูกจิ่วถูทำร้ายเลยรีบวิ่งเข้าไปช่วยทำให้ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ จิ่วถูสั่งให้ลูกสมุนจับตัวต้าลี่และฆ่าเซี่ยนปิ่งทิ้งเสีย แต่ศิษย์ทั้งสี่ของสำนักดาบสู่ซานมาช่วยสองหนุ่มเอาไว้ได้ทัน ชิงอวิ๋นและชูเอ๋อร์ช่วยกันพาต้าลี่หลบหนี ส่วนจื่ออิงเข้าไปประคองเซี่ยนปิ่ง เซี่ยนปิ่งจึงเรียกจื่ออิงว่า 'พี่นางฟ้า' นับแต่นั้น  



หลังพาสองหนุ่มมาที่สำนักดาบสู่ซาน เฉินจื่อก็พาต้าลี่กับเซี่ยนปิ่งไปรอพบอาจารย์ (อู๋หว่อ) แต่ต้าลี่กำลังร้อนใจจึงอยากลงเขาไปตามหาเสี่ยวอวี้เดี๋ยวนั้น ครั้นพอถูกศิษย์สู่ซานกักตัวไว้ราวกับเป็นนักโทษต้าลี่ก็ไม่พอใจ  เฉินจื่อขอให้ต้าลี่อยู่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพรรคมารให้อาจารย์ฟังก่อน ต้าลี่แย้งว่าตนเป็นแค่นายพรานธรรมดาจึงไม่มีอะไรจะเล่า ที่ตนรู้มีเพียงเรื่องเดียวคือเสี่ยวอวี้กำลังรอตนอยู่ทางด้านล่าง ตนจึงอยากลงเขาไปตามหาเธอ จื่ออิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ ขณะที่เฉินจื่อพยายามอธิบายว่าหมู่บ้านว่ออวิ๋นของต้าลี่มีเบาะแสของดวงจิตที่หายไปซึ่งเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับคนทั้งโลก ต้าลี่กล่าวว่าตนไม่สนว่าคนทั้งโลกจะเป็นอย่างไร เพราะคนเดียวที่อยู่ในใจตนคือเสี่ยวอวี้

เมื่อถูกจื่ออิงขวางไม่ให้ลงเขา ต้าลี่ก็ใช้พละกำลังอันมหาศาลหยุดยั้งเธอ เขาจะจับเธอทุ่มลงกับพื้นแต่ถูกเซี่ยนปิ่งห้ามเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเฉินจื่อจะใช้พลังภายในจัดการต้าลี่ เซี่ยนปิ่งจึงรีบเอาตัวเข้ามาขวาง แต่สุดท้ายต้าลี่ก็ถูกจื่ออิงใช้กระบี่แทงเข้าที่หน้าอกอยู่ดี ต้าลี่จึงได้แต่ตัดพ้อว่าตนก็แค่อยากกลับบ้าน ชิงอวิ๋นรีบอธิบายว่าศิษย์พี่ของตนไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางไม่ให้ต้าลี่กลับบ้าน แต่กลับไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะทุกคนในหมู่บ้านถูกคนของพรรคมารฆ่าตายหมดแล้ว ต้าลี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจจนถูกไอมารในกายเข้าครอบงำ เฉินจื่อเห็นดังนั้นจึงเตือนจื่ออิงว่าต้าลี่ไม่ใช่คนธรรมดาเพราะตอนนี้ร่างกายเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยไอมาร




เจ้าสำนักสู่ซาน (อวี้หว่อ) ซึ่งเก็บตัวอยู่บนผาหนิงปี้รู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆ หินวิญญาณแดงก็สำแดงพลังออกมา เขาจึงสงสัยว่าอาจมีคนกระตุ้นพลังมารของหินวิญญาณแดง ครั้นพอออกไปดูก็พบว่าเฉินจื่อกำลังต่อสู้กับต้าลี่ซึ่งอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง เจ้าสำนักจึงรีบสะกดพลังมารในตัวต้าลี่เอาไว้ พอรู้ว่าลูกศิษย์ของตนช่วยต้าลี่มาจากหมู่บ้านว่ออวิ๋นซึ่งถูกพรรคมารโจมตี ทั้งยังพบว่าพลังในตัวต้าลี่มีลักษณะเดียวกับพลังของหินวิญญาณแดง เจ้าสำนักก็รู้ได้ทันทีว่าดวงจิตที่หายไปอยู่ในตัวต้าลี่ เขาจึงพาต้าลี่ไปที่ผาหนิงปี้และบอกให้เฉินจื่อไปเชิญอู๋หว่อกับเสี่ยวหรูมาพบตน เจ้าสำนักเห็นว่าโครงสร้างร่างกายต้าลี่ไม่ธรรมดาและในตัวก็มีแต่ธาตุหยาง จึงเชื่อว่าต้าลี่น่าจะเป็นบุตร "ลิ่วซิง" (หรือ "หกดาว" - เกิดตอนที่ดาวเคราะห์ 6 ดวงเรียงตัวในแนวเดียวกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก และเป็นฤกษ์ที่ไม่เป็นมงคลสำหรับการคลอดบุตร) เสี่ยวหรูแย้งว่าไม่น่าเป็นไปได้เพราะช่วงเวลานั้นไม่ควรมีเด็กถือกำเนิด อู๋หว่อกล่าวว่าไม่มีอะไรที่เป็นไม่ได้ เขาชี้ว่าบุตรของลิ่วซิงพบได้น้อยมาก แถมในกายต้าลี่ยังมีแต่ธาตุหยาง ต้าลี่จึงเกิดมาเพื่อเป็นร่างสถิตของหินวิญญาณแดง 

เจ้าสำนักกล่าวว่าต้าลี่เกิดที่หมู่บ้านว่ออวิ๋นซึ่งตั้งอยู่เบื้องล่างเขาสู่ซานทางด้านทิศตะวันตก เมื่อ 24 ปีก่อนสะเก็ดหินวิญญาณแดงกระเด็นหายไปในทิศทางนั้นพอดี แสดงว่าดวงจิตที่หายไปอยู่ในร่างของต้าลี่ เจ้าสำนักโล่งใจที่จิตวิญญาณทั้ง 81 ดวงในหินวิญญาณแดงจะกลับมารวมอยู่ในที่เดียวกันดังเดิม แต่ปัญหาก็คือดวงจิตที่หายไปไม่ยอมออกจากร่างต้าลี่ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าแต่ดวงจิตในกายต้าลี่กลับมีพลังแก่กล้ามาก ทั้งยังแฝงอยู่ในตัวเขามานานถึง 24 ปีจนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน   หากยังคงดึงดันต่อไปหินวิญญาณแดงในกายเจ้าสำนักจะถูกดึงไปอยู่ในตัวต้าลี่แทน เจ้าสำนักจึงฝากต้าลี่และเซี่ยนปิ่งไว้กับเสี่ยวหรูชั่วคราว เพราะเห็นว่ายอดเขาชีเสียที่เธอดูแลอยู่มีธาตุหยางเบาบางที่สุด เสี่ยวหรูแย้งว่ายอดเขาชีเสียมีแต่ศิษย์ผู้หญิง แต่อู๋หว่อขอให้เธอทำตามความประสงค์ของเจ้าสำนักเพราะเชื่อว่าที่เจ้าสำนักตัดสินใจเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล 


  

ณ พรรคเลี่ยอิ่งเสิน (พรรคเงาเทพอำมหิต) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหุบเขาอินเฟิงบนเทือกเขาไป่หมาน  จิ่วถู (เก้าพิษ) กลับมารายงานว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ท่านประมุข  (ลวี่เผาจุนเจ่อ หรือ จอมมารเสื้อคลุมเขียว) วางไว้อย่างละเอียดรอบคอบ ลวี่เผากล่าวว่าตนไม่ได้รอบคอบเพียงแต่เฝ้ารอมานานและใช้เวลาเตรียมการถึง 24 ปี  จิ่วถูเห็นว่าพวกตนกลับมาจงเยวี๋ยน* เพื่อชิงกระบี่อัคคี (หนานหมิงหลีหั่วเจี้ยน) ที่สามารถคลายผนึกแดนมารตะวันตกได้ ครั้นพอเห็นแผนการของลวี่เผาเขาเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องเตรียมการให้ยุ่งยากมากมายเช่นนี้ ถูเหม่ยซึ่งเป็นรองประมุขชิงตอบว่าลวี่เผาต้องการสะสางความแค้นที่อัดแน่นในใจมานาน 24 ปี... ปรากฏว่าลวี่เผาหรือจอมมารเสื้อคลุมเขียวก็คือซ่างกวนจิ่งหว่อนั่นเอง

* "จงเยวี๋ยน"  (บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง) คือดินแดนทางตอนล่างของแม่น้ำฮวงโหซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมจีน ปัจจุบันคือมณฑลเหอหนาน  รวมถึงดินแดนทางตอนใต้ของมณฑลเหอเป่ย, ดินแดนตอนใต้ของมณฑลซานซี และด้านทิศตะวันตกของมณฑลซานตง

- ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีต -

ถูเหม่ยเล่าให้จิ่วถูฟังว่าตอนที่สำนักจอมยุทธต่างๆ ในแดนจงเยวี๋ยนเปิดศึกกับแดนตะวันตกของพวกตน และร่ายมนตร์ปิดผนึกแดนตะวันตกเอาไว้จนทำให้พวกตนถูกขังอยู่ในความมืด ลวี่เผายังไม่ได้เป็นคนของพรรคมาร ซ้ำยังอยู่ฝ่ายธรรมะ



เมื่อ 24 ปีก่อน จอมมารประจิม นามว่า  "ถูปา" (พี่ชายของถูเหม่ย) ซึ่งเรืองอำนาจในแดนตะวันตก บังเอิญได้ครอบครอง "ขลุ่ยไป๋กู่" (ขลุ่ยกระดูกขาว - ของวิเศษโบราณที่ทำมาจากกระดูกหน้าอกของชือโหยว สามารถเรียกวิญญาณและควบคุมเหล่ามาร อสูร ปีศาจได้) หลังรับรู้ถึงพลังมารอันแก่กล้าในหินวิญญาณแดง  ถูปาจึงใช้ขลุ่ยไป๋กู่เรียกวิญญาณนับหมื่นดวงหวังบุกดินแดนจงเยวี๋ยนเพื่อชิงหินวิญญาณแดงและตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ถูเหม่ยจึงรับหน้าที่เป็นทัพหน้า ในปีนั้นเธอบุกโจมตีสำนักจอมยุทธจนราบคาบไปหลายแห่ง ด้วยความที่ไม่มีใครต่อกรกับเธอได้ เธอจึงหมายมั่นว่าจะปกครองดินแดนจงเยวี๋ยนร่วมกับพี่ชาย จนกระทั่งได้พบชายคนหนึ่ง...



ณ โรงเตี๊ยมบริเวณเชิงเขาอู่ตัง (เขาบู๊ตึ้ง)  ศิษย์สำนักบู๊ตึ้งให้การต้อนรับ "ผู้อาวุโสเจี่ย" อดีตอาจารย์ซึ่งวางมือจากยุทธภพมานานหลายปีและเพิ่งกลับมาที่สำนักบู๊ตึ้งอีกครั้งหมายร่วมตั้งค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว หลังได้ยินข่าวว่าถูปาบุกมาเข่นฆ่าจอมยุทธและผู้คนในจงเยวี๋ยนมากมาย จิ่งหว่อซึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ในโรงเตี๊ยมรู้ว่าความจริงแล้วผู้อาวุโสเจี่ยเพิ่งถูกฆ่าตายหลังเดินทางมาถึงบู๊ตึ้งได้ไม่นาน และผู้ที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมคือนางมารถูเหม่ยที่สวมรอยเป็นอาวุโสเจี่ย หลังถูกเจ้าสำนัก "จั๋ว" (เจ้าสำนักบู๊ตึ้ง) จับได้ถูเหม่ยจึงเปิดเผยตัวตนและโจมตีบู๊ตึ้งทันที แม้ฝีมือจะเป็นรองทำให้ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณลำคอ แต่ถูเหม่ยก็ฉวยโอกาสซัดพิษร้ายใส่เจ้าสำนักจั๋ว ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของเจ้าสำนักจั๋วได้ โชคดีที่มีชายคนหนึ่งบุกมาช่วยและพาเธอหนีไป




ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวคือจิ่งหว่อ พอเห็นว่าถูเหม่ยไม่ไว้ใจตนและไม่ชอบให้ใครช่วย จิ่งหว่อจึงกล่าวว่าถึงแม้ตนไม่ลงมือเจ้าสำนัก จั๋วก็ต้องตายเพราะโดนพิษของถูเหม่ยอยู่ดี ดังนั้น คนที่ตนช่วยจึงไม่ใช่เธอแต่เป็นเจ้าสำนักจั๋ว (ช่วยให้ตายเร็วขึ้นจะได้ไม่ทรมาน)  ถูเหม่ยสงสัยว่าทำไมในตัวของจิ่งหว่อจึงมีไอมารของพวกตน จิ่งหว่อเห็นว่าถูเหม่ยเลิกหวาดระแวงตนแล้ว (เธอปักร่มซึ่งเป็นอาวุธคู่กายลงที่พื้น) จึงเดินเข้าไปเช็ดเลือดที่แผลบริเวณลำคอให้เธอ พลางเล่าว่าตนเกิดมาโดยมีไอมารแฝงอยู่ในร่าง ทั้งยังกำพร้าตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าตนเองชื่อแซ่อะไร ตนไม่มีสังกัดและมักเดินทางไปไหนมาไหนตามใจปรารถนา หากใครเข้ามาขวางจะต้องตายสถานเดียว ถูเหม่ย กล่าวว่าเธอกับจิ่งหว่อมีนิสัยคล้ายกัน เพราะเธอเองก็เกลียดคนขัดใจ หากใครกล้าเข้ามาขวางเธอจะถือเป็นศัตรู หลังเช็ดเลือด (และหว่านเส่นห์) ให้ถูเหม่ยแล้วจิ่งหว่อก็เดินจากไปโดยบอกว่ายังมีสตรีอีกมากมายที่รอให้ตนไปช่วย ถูเหม่ยรีบถามว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก พอรู้ว่าจะได้เจอกันวันพรุ่งนี้ถูเหม่ยก็แอบดีใจ


อวี้หว่อและอู๋หว่อซึ่งลงเขาสู่ซานมาสืบหาข้อเท็จจริงต่างตกตะลึงเมื่อตรวจสภาพศพของเจ้าสำนักจั๋วแล้วพบรอยแผลถูกแทงย้อนกลับหลังซึ่งเป็นกระบวนท่าของจิ่งหว่อ (แต่ไม่ใช่วิชาของสำนักสู่ซาน) เนื่องจากอวี้หว่อยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงขอให้อู๋หว่อช่วยปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ จิ่งหว่อซึ่งแอบลงเขาสู่ซานทั้งๆ ที่อาจารย์สั่งห้าม ยอมรับกับอวี้หว่อ อู๋หว่อ และซู่อิน (ซึ่งแอบลงเขามาเช่นกัน) ว่าตนลงมือสังหารเจ้าสำนักจั๋วจริง แต่ตอนนั้นเจ้าสำนักจั๋วกำลังจะตายเพราะโดนพิษนางมารอยู่แล้ว ตนจึงคิดที่จะใช้การตายของเจ้าสำนักจั๋วให้เป็นประโยชน์ เพราะวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งแผนชั่วของเหล่ามารก็คือการจับถูปาซึ่งเป็นตัวการใหญ่ แต่ปัญหาก็คือถูปาไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น แม้แต่น้องสาวเขาก็ยังส่งข่าวผ่านวิญญาณ ตนลงเขาเพื่อมาสืบข่าวถูปาหลายวันแล้วแต่ยังไม่พบร่องรอยใดๆ เลยจำเป็นต้องใช้ถูเหม่ยน้องสาวของถูปาเป็นตัวช่วย

จิ่งหว่อบอกศิษย์พี่ทั้งสองว่าหลังทำให้ถูเหม่ยเชื่อใจตนได้แล้ว ตนจะแกล้งร่วมมือกับพรรคมาร ถ้าถูเหม่ยพาตนไปหาถูปาเมื่อไหร่ ตนจะรีบส่งข่าวมาบอกว่าถูปาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ซู่อิ่นแย้งว่าทำเช่นนี้อันตรายเกินไป แต่จิ่งหว่อมั่นใจว่าศิษย์พี่ทั้งสองจะต้องช่วยตนอย่างแน่นอน พอได้ฟังแผนการของจิ่งหว่อแล้ว อวี้หว่อจึงกล่าวว่าถ้าแผนการครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดีจิ่งหว่อจะมีความดีความชอบครั้งใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นตนจะรายงานเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ทราบ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามลงมืออย่างโหดเหี้ยมอีกโดยเด็ดขาด หลังจากนั้น อวี้หว่อ อู๋หว่อ และจิ่งหว่อ ก็ให้คำมั่น (ต่อหน้าซู่อิน) ว่าจะร่วมมือกันกำจัดประมุขแดนมาร



ซู่อิ่นรู้สึกไม่สบายใจเมื่อรู้ว่าจิ่งหว่อยอมเอาชีวิตเข้าแลกหวังสร้างผลงานให้อาจารย์ยอมรับ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจิ่งหว่อมักแอบลงเขาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทำให้ซู่อิ่นต้องคอยออกตามหาหรือไม่ก็ได้แต่เฝ้ารอ จิ่งหว่อจึงรู้สึกผิดต่อเธอ ซู่อิ่นกล่าวว่าเธอไม่กลัวการรอคอยเพราะยิ่งรอนานเท่าใดก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเวลาที่ได้พบกัน แต่เธอกลัวเรื่องที่เขาจะเข้าหานางมาร จิ่งหว่อกล่าวว่าเพราะตนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมารตะวันตกจึงไม่เป็นที่ยอมรับของทุกคนในสู่ซาน วิธีนี้จึงเป็นหนทางเดียวที่ตนจะพิสูจน์ตนเองได้ แม้การเข้าหานางมารจะทำให้ตนต้องพูดหรือทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับความรู้สึก แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหัวใจของตนจะเป็นของซู่อินเสมอ ซู่อินได้ยินดังนั้นจึงยื่นคำขาดให้จิ่งหว่อขอตนแต่งงานทันทีที่กลับเขาสู่ซาน (อวี้หว่อซึ่งแอบดูอยู่ห่างๆ เห็นทั้งคู่สวมกอดกันจึงรู้สึกเจ็บปวดใจ เพราะเขาเองก็หลงรักศิษย์น้องซู่อินด้วยเช่นกัน)

ซู่อินกลับไปรายงานนักพรต "ไป๋เหมย" (คิ้วขาว)  ซึ่งเป็นเจ้าสำนักสู่ซานว่า อวี้หว่อใกล้พบที่ซ่อนของถูปาแล้ว เจ้าสำนักถามด้วยความเป็นห่วงว่ามีข่าวของจิ่งหว่อไหมแต่ซู่อินโกหกว่าไม่มี เจ้าสำนักจึงได้แต่ภาวนาว่าจิ่งหว่อจะไม่เดินทางผิด จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวหรูส่งศิษย์สู่ซานที่อยู่บนยอดเขาเตี้ยนชางไปช่วยอวี้หว่อและอู๋หว่อ


คืนนั้นจิ่งหว่อไปหาถูเหม่ยตามนัด ถูเหม่ยได้กลิ่นหญิงสาวในตัวจิ่งหว่อจึงขอให้เขาดื่มเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ แม้จะรู้ว่าในเหล้าผสมยาบางอย่างแต่จิ่งหว่อก็ยอมดื่มแต่โดยดี  เขากล่าวว่าในโลกนี้ความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นสิ่งที่หาได้ยากและมีค่าที่สุด ตนนับถือถูเหม่ยเป็นสหาย หากถูเหม่ยคิดฆ่าตนๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูด ชีวิตตนนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ถูเหม่ยมีความสุข ถูเหม่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกพึงพอใจและเฉลยว่าสิ่งที่ผสมในเหล้าคือยากระตุ้นกำหนัด หลังจากนั้นถูเหม่ยก็เริ่มถอดเสื้อผ้าพลางกล่าวว่ามารแดนตะวันตกอย่างพวกตนแตกต่างจากชาวจงเยวี๋ยน พวกตนจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองเสมอและจะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เธอต้องการให้เขาอยู่เคียงข้างและคิดถึงแต่เธอเพียงคนเดียว และนี่ก็คือวิธีที่เขาสามารถพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อเธอ แม้จะรู้สึกผิดต่อซู่อินแต่จิ่งหว่อไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินหน้าทำตามแผนต่อไป

พออู๋หว่อ (ซึ่งแอบสังเกตการณ์อยู่ทางด้านนอกกับอวี้หว่อ) รู้ว่าจิ่งหว่อจะต้องเอาตัวเข้าแลกจึงคิดที่จะเข้าไปขัดขวางเพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฏสำนัก แต่อวี้หว่อห้ามเอาไว้โดยบอกว่าหากทำอะไรโดยบุ่มบ่ามจะทำให้ความพยายามของจิ่งหว่อสูญเปล่า อู๋หว่อเกรงว่าหากอาจารย์รู้เข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ อวี้หว่อจึงขอให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ในเวลาเดียวกันนั้นเจ้าสำนักสู่ซานได้เตรียมปิดผนึกแดนมารตะวันตกด้วยกระบี่อัคคีของนักพรตไท่ชิง (ผู้ก่อตั้งสำนักดาบสู่ซาน) เพื่อปิดกั้นเขตแดนและแยกแดนมารกับแดนจงเยวี๋ยนออกจากกัน ทั้งยังเป็นการกักขังเหล่ามารให้อยู่แต่ในแดนตะวันตกอีกด้วย



ในที่สุด ถูเหม่ยก็พาจิ่งหว่อไปพบถูปาที่หุบเขาอินเฟิงบนเทือกเขาไป่หมาน ซึ่งเป็นฐานของถูปาในแดนจงเยวี๋ยน (และเป็นที่ตั้งของพรรคเลี่ยอิ่งเสินในปัจจุบัน)  จิ่งหว่อจึงแอบส่งสัญญาณไปบอกอวี้หว่อกับอู๋หว่อ ทันทีที่เข้าไปทางด้านในอู๋หว่อก็ถูกถูปาเล่นงาน ถูเหม่ยรีบห้ามพี่ชายโดยบอกว่าจิ่งหว่อเคยช่วยชีวิตตน เขาเป็นสายเลือดมาร และยินดีเป็นสมุนของถูปาอีกด้วย ถูปากล่าวว่าหากจิ่งหว่อยอมเป็นพวกตนจริงก็ต้องรับการถ่ายทอดไอมารของตน เขาจะต้องยอมให้ขลุ่ยไป๋กู่เปลี่ยนพลังภายในให้เป็นไอมาร จิ่งหว่อได้ยินดังนั้นจึงคิดที่จะทำลายทั้งขลุ่ยไป๋กู่และถูปาเพราะต่างก็เป็นภัยร้ายแรงทั้งคู่ แต่สิ่งที่จิ่งหว่อไม่รู้ก็คือถูปารู้ทันเขาตั้งแต่ต้น

ถูปาแกล้งพาจิ่งหว่อมาดูขลุ่ยไป๋กู่เพื่อหลอกให้จิ่งหว่อเผยธาตุแท้ต่อหน้าถูเหม่ย จิ่งหว่อต้องการทำลายขลุ่ยไป๋กู่จึงตกหลุมพราง ถูเหม่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นจิ่งหว่อใช้เพลงกระบี่สู่ซานทำลายภาพมายาของขลุ่ยไป๋กู่ ถูปาจึงใช้โอกาสนี้เตือนน้องสาวว่าชาวจงเยวี๋ยนไว้ใจไม่ได้สักคน หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ตรงเข้าจู่โจมจิ่งหว่อ ในขณะที่จิ่งหว่อกำลังต่อสู้กับจอมมาร เจ้าสำนักสู่ซานก็เริ่มถ่ายทอดพลังเข้าไปไว้ในกระบี่อัคคีเพื่อสร้างมนตร์ผนึกมารร่วมกับเสี่ยวหรูและซู่อิน อวี้หว่อและอู๋หว่อเห็นดังนั้นจึงจำเป็นต้องตั้งค่ายกลปราบมารปิดผนึกปากถ้ำของถูปา 



เจ้าสำนักเห็นภาพจิ่งหว่อกำลังต่อสู้กับถูปาผ่านทางดวงเนตรของมนตร์ผนึกมารก็รู้สึกตกใจ ซู่อินรีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เจ้าสำนักฟัง จากนั้นก็ขอร้องว่าอย่าขังจิ่งหว่อเอาไว้ในนั้นเพราะเขากำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อสำนัก เจ้าสำนักตำหนิซู่อินที่เพิ่งมาบอกตอนนี้ และกล่าวว่าดวงเนตรของมนตร์ผนึกมารเริ่มทำงานแล้วจะหยุดกลางคันไม่ได้  ถ้าไม่ขังถูปาตอนนี้ดินแดนจงเยวี๋ยนจะไม่มีวันสงบสุข ซู่อินจึงควรคิดถึงส่วนรวมก่อน ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโชคชะตาของจิ่งหว่อ

ถูปาไม่คาดคิดว่านักพรตไป๋เหมยจะส่งศิษย์ครึ่งคนครึ่งปีศาจมาปราบตน เขากล่าวว่าค่ายกลปราบมารเล็กๆ ของสำนักสู่ซานไม่อาจทำอะไรตนได้เพราะตนมีขลุ่ยไป๋กู่อยู่ในมือ อวี้หว่อขังจิ่งหว่อไม่ลงจึงบุกเข้าไปช่วย พอรู้ว่าอาจารย์จะปิดผนึกขังตนพร้อมกับจอมมารถูปา จิ่งหว่อก็รู้สึกเสียใจและผิดหวังที่ถูกอาจารย์ทอดทิ้ง ซู่อินทนดูคนรักถูกกักขังไม่ได้จึงใช้เลือดและหัวใจรักมั่นคลายผนึกปิดมารชั่วขณะหวังช่วยจิ่งหว่อ สุดท้ายอวี้หว่อก็ช่วยจิ่งหว่อออกมาได้ทันเวลา

- กลับมาที่ช่วงเวลาในปัจจุบัน -

หลังรับรู้เรื่องราวในอดีตของประมุขและรองประมุข จิ่วถูก็รู้สึกทึ่งที่ทั้งคู่ยังคงไว้เนื้อเชื่อใจและรักใคร่กลมเกลียวกัน ถูเหม่ยกล่าวว่าเมื่อหลายปีก่อนตนเคยเตือนจิ่งหว่อว่าคนจงเยวี๋ยนเจ้าเล่ห์นัก มีเพียงมารแดนตะวันตกเท่านั้นที่เห็นอกเห็นใจและซื่อสัตย์ต่อกัน คนหัวอกเดียวกันย่อมเข้าใจความรู้สึกและปลอบประโลมซึ่งกันและกันได้ดีที่สุด ที่สำคัญพวกตนมีศัตรูคนเดียวกัน ลวี่เผากล่าวว่าสิ่งที่ทำให้ตนเจ็บปวดที่สุดในชีวิตคือการถูกคนใกล้ชิดที่สุดและไว้ใจที่สุดหักหลัง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องที่ผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกัน ในยามที่เราต้องการเขามากที่สุดแต่เขากลับผลักเราลงสู่ห้วงเหวลึก ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนโดนน้ำแข็งทิ่มแทงเข้าที่กระดูก

- ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีต -




หลังผ่านประสบการณ์เฉียดตาย จิ่งหว่อก็รู้สึกผิดที่ตนมัวแต่พิสูจน์ตนเองจนละเลยซู่อิน เขารู้แล้วว่าสิ่งที่ตนต้องการมากที่สุดไม่ใช่การสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ แต่เป็นการได้อยู่เคียงข้างหญิงที่ตนรักตลอดไป ทั้งคู่มีความสุขด้วยกันได้ไม่นานอวี้หว่อก็มาตามจิ่งหว่อไปพบอาจารย์โดยบอกว่าคนของสำนักบู๊ตึ้งบุกมาที่ยอดเขาหลิงอวิ๋นเพื่อทวงถามความรับผิดชอบ ซู่อินรู้ว่าสำนักบู๊ตึ้งจะเอาเรื่องจิ่งหว่อจึงห้ามไม่ให้เขาออกไป แต่จิ่งหว่อมั่นใจว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยไม่รู้สึกเกรงกลัว

จิ่งหว่อยอมรับต่อหน้าอาจารย์และศิษย์บู๊ตึ้งว่ารอยแผลที่หน้าอกเจ้าสำนักจั๋วเป็นฝีมือของตน แต่ตอนนั้นเจ้าสำนักจั๋วกำลังจะตายเพราะโดนพิษอยู่แล้ว หากเจ้าสำนักจั๋วล่วงรู้แผนการของตนคงรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้สละชีวิตเพื่อปกป้องโลก เมื่อโดนอาจารย์ตำหนิและประณามอย่างรุนแรง จิ่งหว่อจึงตัดพ้อว่าตนก็แค่นำวิถีมารมารับมือมาร ตนอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องโลกจากมารร้าย สำนักบู๊ตึ้งไม่เข้าใจความปรารถนาดีของตนก็ไม่เป็นไร แต่อาจารย์น่าจะเข้าใจตนมากที่สุด อวี้หว่อและอู๋หว่อพยายามพูดแก้ต่างและขอความเห็นใจให้จิ่งหว่อ แต่กลับทำให้สำนักดาบสู่ซานถูกบู๊ตึ้งประณามว่าไร้ซึ่งคุณธรรมไม่ต่างจากมารแดนตะวันตก



เจ้าสำนักบู๊ตึ้งคนใหม่ยังฟ้องด้วยว่าวันนั้นจิ่งหว่อไม่ได้ใช้เพลงยุทธของสำนักดาบสู่ซานแต่กลับนำวิขามารมาใช้ทำให้นักพรตไป๋เหมยโกรธมาก จิ่งหว่ออธิบายว่านั่นเป็นเพียงอุบายของตน เขาคุกเข่าสัญญาว่าต่อจากนี้ตนจะไม่นำพลังมารในตัวมาใช้อีก นักพรตไป๋เหมยบอกเจ้าสำนักบู๊ตึ้งว่า ตนนำจิ่งหว่อมาจากชายแดนตะวันตก โดยหวังว่าช่วยขจัดไอมารและชักนำจิ่งหว่อให้เดินบนเส้นทางสายคุณธรรมแต่ดูเหมือนว่าตนจะคิดผิด เพื่อเป็นการลงโทษที่ทำผิดกฏและชดใช้ความผิด ตลอดจนกำจัดไอมารในตัวจิ่งหว่อ นักพรตไป๋เหมยจึงตัดแขนข้างซ้ายของจิ่งหว่อซึ่งเป็นบ่อเกิดของพลังมารทิ้ง และขังเขาไว้ในหุบเขาปราบมารเพื่อให้เขากลับตัวกลับใจและเป็นการเตือนศิษย์คนอื่นๆ ไม่ให้ทำผิดกฏ

อวี้หว่อไปเยี่ยมจิ่งหว่อที่หุบเขาปราบมารและพยายามอธิบายว่าที่อาจารย์ทำเช่นนี้เพราะความจำเป็น หากไม่ลงโทษจิ่งหว่อสำนักบู๊ตึ้งคงไม่ยอมเลิกรา (เสียแขนดีกว่าเสียชีวิต ทั้งยังเป็นการกำจัดพลังมารในตัวอีกด้วย) จิ่งหว่อไม่เชื่อว่าอาจารย์เป็นห่วงตนเพราะที่ผ่านมาอาจารย์มีอคติกับตนมาโดยตลอด เพียงแต่ตนไม่นึกฝันว่าอาจารย์จะใจร้ายใจดำถึงเพียงนี้ จิ่งหว่อไม่อยากโดนขังจึงอ้อนวอน อวี้หว่อให้ช่วยไปขอร้องอาจารย์แทนตน หลังจากนั้นก็ถามหาซู่อิน อวี้หว่อกล่าวว่าตนเป็นคนเดียวที่เข้ามาที่นี่ได้  หากอาจารย์หายโกรธเมื่อไหร่ตนจะแอบพาซู่อินมาพบจิ่งหว่อที่นี่ จิ่งหว่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เขากล่าวว่านอกจากซู่อินแล้ว อวี้หว่อคือคนที่ตนเชื่อใจมากที่สุด ดังนั้นอวี้หว่อจะต้องช่วยตนออกไปจากที่นี่ให้ได้


เนื่องจากนักพรตไป๋เหมยสูญเสียพลังในการปิดผนึกมารแดนตะวันตกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่มีพลังเหลือพอที่จะประคองร่างกายให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก่อนที่นักพรตไป๋เหมยจะละสังขาร อวี้หว่อพยายามขอร้องให้ปล่อยตัวจิ่งหว่อ นักพรตไป๋เหมยกล่าวว่าที่ตนกักขังและทำลายแขนจิ่งหว่อไม่ได้เป็นการลงโทษ ความจริงแล้วตนรู้ว่าจิ่งหว่อไม่ผิดและแผนการของจิ่งหว่อก็นับว่าชาญฉลาดมาก แต่พลังมารในตัวจิ่งหว่อกำจัดได้ยากและตนตรวจดวงชะตาจิ่งหว่อแล้วพบว่าเขากำลังจะประสบเคราะห์กรรมครั้งร้ายแรง และเคราะห์กรรมในครั้งนี้จะนำภัยพิบัติมาสู่สำนักสู่ซาน ซู่อินจึงขอให้นักพรตไป๋เหมยเห็นใจจิ่งหว่อเพราะเขาเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว

นักพรตไป๋เหมยชี้ว่าการทนทุกข์ทรมานถือเป็นวิธีแก้กรรมอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมาเหล่าจอมยุทธมักใช้วิธีปลีกวิเวกหรือกักขังตัวเองเป็นเวลาหลายปีเพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรม ตนขังจิ่งหว่อไว้ในหุบเขาปราบมารเพื่อให้เขามุ่งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญเพียร และนั่นก็เป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาพ้นเคราะห์ สิ่งที่เขากำลังเผชิญจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ก่อนสวรรค์จะมอบความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงให้ใคร  มักทดสอบด้วยการทำลายจิตวิญญาณและความตั้งใจของคนผู้นั้นเสียก่อน หากจิ่งหว่อไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ และยังคงทำอะไรตามใจชอบโดยปราศจากความยั้งคิดจะเป็นภัยใหญ่หลวงต่อสำนักดาบสู่ซาน พูดจบนักพรตไป๋เหมยก็แต่งตั้งอวี้หว่อเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ ทั้งยังมอบเคล็ดวิชาเงาโลหิต (ซึ่งเป็นวิชามารที่ใช้คู่กับหินวิญญาณแดง) ให้เขาเก็บรักษาโดยเตือนว่าเป็นวิชาต้องห้ามที่อันตรายมาก และห้ามศิษย์สู่ซานฝึกฝนโดยเด็ดขาด ก่อนละสังขารนักพรตไป๋เหมยได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน นั่นก็คือการยกซู่อินให้เป็นภรรยาของอวี้หว่อ หวังให้เธอละทิ้งความลุ่มหลงซึ่งมีแต่จะทำลายตนเอง


อวี้หว่อพยายามหว่านล้อมให้ซู่อินยอมแต่งงานกับตนโดยนำคำสั่งเสียของอาจารย์มากล่าวอ้าง แต่ซู่อินยืนกรานว่าเธอรักและจะแต่งงานกับจิ่งหว่อเพียงคนเดียว อวี้หว่อพยายามชี้ให้ซู่อินเห็นข้อเสียของจิ่งหว่อแต่ซู่อินไม่สนใจ ทำให้อวี้หว่อยิ่งน้อยใจที่ความรักของตนไม่มีค่าในสายตาซู่อิน ซู่อินกล่าวว่าเธอรักและเคารพอวี้หว่อดุจพี่ชาย  อวี้หว่อแย้งว่าหลังแต่งงานความรักแบบชายหญิงจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเอง ที่สำคัญตนรักซู่อินไม่น้อยไปกว่าจิ่งหว่อ ซู่อินสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ อาจารย์ถึงจับคู่ตนกับอวี้หว่อทั้งๆ ที่ปกติแล้วอาจารย์จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกศิษย์ เธอจึงถามอวี้หว่อว่าก่อนหน้านี้เขาไปพูดอะไรกับอาจารย์กันแน่ อวี้หว่อเห็นว่าในใจของซู่อินมีแต่จิ่งหว่อจึงรู้สึกโกรธ เขาไม่สนว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่และให้เวลาเธอเตรียมตัวเตรียมใจหนึ่งเดือน โดยบอกว่าหลังไว้ทุกข์ให้อาจารย์แล้วเขาจะเข้าพิธีรับตำแหน่งเจ้าสำนักและจะแต่งงานกับเธอในวันนั้น


จิ่งหว่อร่ำไห้ด้วยความดีใจที่ได้พบซู่อินอีกครั้ง  เขาบอกเธอว่าตนสำนึกผิดและคิดได้แล้วว่าการฆ่าคนไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายล้วนเป็นสิ่งที่ผิดและนำมาซึ่งความบางหมาง ถึงตนจะเสียแขนไปหนึ่งข้างก็ไม่เป็นไรเพราะถือเป็นการชดใช้ความผิด ตราบใดที่ซู่อินไม่รังเกียจตนๆ จะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ซู่อินมีความสุข เขาตั้งใจว่าอีกสองสามวันจะไปสารภาพผิดกับอาจารย์ พอรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วเขาก็ร่ำไห้ด้วยความเสียใจ จิ่งหว่อเห็นว่าอวี้หว่อไม่มาเยี่ยมตนจึงถามซู่อินว่าอวี้หว่อไม่เป็นอะไรใช่ไหม จิ่งหว่อหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าอาจารย์ไม่เพียงมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้อวี้หว่อ แต่ยังยกซู่อินให้เป็นภรรยาของอวี้หว่ออีกด้วย

ยิ่งรู้ว่าอวี้หว่อจะแต่งงานกับซู่อินตามที่อาจารย์สั่งทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าตนกับซู่อินรักกัน จิ่งหว่อก็ทั้งโกรธแค้นและผิดหวังที่โดนคนกันเองหักหลัง เขาหมดความนับถือศรัทธาในสำนักดาบสู่ซานจึงชวนซู่อินหนีไปด้วยกัน และทางเดียวที่จะหนีได้ก็คือการใช้เคล็ดวิชาเงาโลหิต ซู่อินจึงแอบคัดลอกเคล็ดวิชาดังกล่าวแล้วนำมาฝึกกับจิ่งหว่ออย่างลับๆ ในหุบเขาปราบมาร ผลของการฝึกวิชาต้องห้ามทำให้แขนซ้ายของจิ่งหว่องอกออกมาใหม่ในลักษณะของแขนปีศาจ

และนั่นก็คือที่มาของเรื่องราวทั้งหมด ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ใน "ศึกเทพยุทธภูผาซู (The Legend of Zu)" ทางช่องวัน

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ



เฉินเหว่ยถิง (วิลเลียม ชาน)
รับบท ติงอิ่น / ติงต้าลี่
(นักร้อง / นักแสดง ชาวฮ่องกง)



จ้าวลี่อิง
รับบท อวี้อู๋ซิน / เสี่ยวอวี้
(นักแสดงชาวจีน)



อู๋ฉีหลง (นิคกี้ อู๋)
รับบท จอมมารเสื้อคลุมเขียว (ลวี่เผาจุนเจ่อ) / ซ่างกวนจิ่งหว่อ
(นักแสดง / นักร้อง / โปรดิวเซอร์ ชาวไต้หวัน)



เหวินหย่งซาน
รับบท โจวชิงอวิ๋น
(นักแสดง / นางแบบ ชาวฮ่องกง)



หลี่จิ้นหรง
รับบท จูเก่ออวี้หว่อ
(นักแสดง ชาวจีน)



หานอวี่ฉิน
รับบท ซู่อิน
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)



เย่จู่ซิน
รับบท จางเซี่ยนปิ่ง
(นักแสดง ชาวจีน)



เกาเหว่ยกวง
รับบท ตานเฉินจื่อ
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)




หลิวซือถง
รับบท จูเก่อจื่ออิง
(นักแสดง ชาวจีน)




เจี่ยเสี่ยวเฉิน
รับบท ถูเหม่ย (น้องสาวถูปา)
(นักแสดง / นักร้อง / นางแบบ ชาวจีน)




อู๋หัวซิน
รับบท จิ่วถูเสินจวิน
(นักแสดง ชาวฮ่องกง)




วังซีเฉา
รับบท อู่กุ่ยเทียนหวัง
(นักแสดง ชาวจีน)



ฝานเส้าหวง (หลุยส์ ฟาน)
รับบท กงซุนอู๋หว่อ
(นักแสดง ชาวฮ่องกง)




จางเทียนหลิน
รับบท ถูปา
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)



อู่ลี่
รับบท เสี่ยวหรูเจินเหริน
(นักแสดง ชาวจีน)



อวี๋เยว่
รับบท ถูเมิ่ง
(นักแสดง ชาวจีน)



ชุยจง
รับบท เซียนสมุนไพร (ไป๋เฉ่าเซียนเหริน)
(นักแสดง ชาวจีน)



เว่ยชุนกวง
รับบท หลวงจีนเมี่ยวอี  (เมี่ยวอีเหอช่าง)
(นักแสดง ชาวจีน)



รวมคลิปตัวอย่างและเพลงประกอบละครจากอันฮุยทีวี



รวมคลิปเบื้องหลังจากอันฮุยทีวี ฯลฯ


* ดูละครย้อนหลังทางช่อง One ได้ ที่นี่ และ ที่นี่ 

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา