วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เรื่องย่อ Reply 1994 คิดถึงเธอ




ผู้กำกับ:  ชิน วอนโฮ   
เขียนบท:  ลี อูจอง 
แนวละคร:  วัยรุ่น, โรแมนติก, คอมเมดี้  
จำนวนตอน:  21
ออกอากาศ:  เกาหลี - 18 ตุลาคม 2556 - 28 ธันวาคม 2556 ทางช่องเคเบิ้ลทีวีเอ็น 
                  ไทย - ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 9.30-11.00 น. ทางช่อง 1 เวิร์คพอยท์ทีวี เริ่มออกอากาศ 14 มิถุนายน 2557




หลังประสบความสำเร็จชนิดเกินคาดจากละครเรื่อง  "Reply 1997" ในที่สุด ช่องเคเบิ้ล "ทีวีเอ็น" ก็พาเราย้อนกลับไปในยุค 90 อีกครั้งกับละครเรื่อง "Reply 1994 คิดถึงเธอ" โดยใช้ผู้กำกับและผู้เขีบนบทคนเดิมแต่สร้างพล็อตเรื่องและตัวละครขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง แถมตอนสุดท้ายของละครเรื่องนี้ยังทุบสถิติละครเคเบิ้ลเกาหลี (ละครเกาหลีที่ผลิตเพื่อออกอากาศทางเคเบิ้ลทีวี หรือ "เปย์ทีวี") ที่ทำเรตติ้งสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกด้วย

สาเหตุที่ละครเลือกกล่าวถึงเหตุการณ์ในปี 1994 เป็นเพราะในปีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย นับตั้งแต่การที่ "คิม อิลซอง" ผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือถึงแก่อสัญกรรมกระทันหันในวัย 82 ปี ทำให้เกิดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี,  เกิดคลื่นความร้อนจนส่งผลให้อุณหภูมิที่เกาหลีใต้สูงสุดในรอบ 52 ปี, เกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่เมื่อสะพานซองซูเหนือแม่น้ำฮันพังถล่มลงมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 32 คน ฯลฯ

ด้านวงการบันเทิงก็มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นมากมายเช่นกัน เช่น อัลบั้มที่ 2 ของนักร้อง "คิม กอน โม" มียอดจำหน่ายสูงถึง 1.83 ล้านก็อปปี้, อัลบั้มที่ 3 ของบอยแบนด์ "ซอ แทจี แอนด์ บอยส์"  จำหน่ายได้มากถึง 1.3 ล้านก็อปปี้, คู่หูดูโอวง "Deux" ปลุกกระแสเพลงฮิปฮอปจนเป็นที่นิยมในเกาหลี, เกิดกระแสคลั่งไคล้ "ฮวาง เฮยอง " นักร้องวงบอยแบนด์ "Two Two", "ปาร์ก จินยอง" เปิดตัวอัลบั้มใหม่ในฐานะนักร้องเดี่ยวครั้งแรกและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง  (ปัจจุบัน เขาคือผู้ก่อตั้งและซีอีโอ เจวายพี เอ็นเตอร์เทนเมนท์) เป็นต้น


"ซอ แทจี แอนด์ บอยส์"  บอยแบนด์ชื่อดังแห่งยุค 90 มีสมาชิก 3 คน คือ ซอ แทจี (กลาง), ยาง ฮยอนซอก (ซ้าย - ปัจจุบันเป็นซีอีโอของ วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนท์) และ ลี จูโน

นอกจากนี้ ปี 1994 ยังเป็นยุคทองของวงการละครเกาหลีอีกด้วย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "The Final Match" (หรือ The Last Game) ที่ผู้คนติดกันงอมแงม,  "Love In Your Arms"  ที่ทำให้นักแสดงนำ "ชา อินเพียว" กับ "ชิน เอรา" พบรักและกลายเป็นคู่สามีภรรยาในปัจจุบัน โดยละครเรื่องนี้ทำเรตติ้งได้สูงสุดที่ 45.1%, ละครสยองขวัญ "M" ทำเรตติ้งถล่มทลายที่ 52.2% ขณะที่ละคร "Seoul's Moon" ก็ทำเรตติ้งสูงสุดที่ 48.7%


นักบาสฯ ระดับตำนาน "ลี ซังมิน" 

ส่วนวงการกีฬาก็มีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเช่นกัน อาทิ เริ่มเกิดกระแสคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอล, เกิดปรากฏการณ์บาสเกตบอลฟีเวอร์โดยเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยยอนเซ ซึ่งมีบรรดากรุ๊ปปี้หรือสาวๆ ที่คลั่งไคล้นักบาสฯ มาคอยตามกรี๊ดและตะโกนเชียร์นักกีฬาที่ตนชื่นชอบถึงขอบสนาม (นักบาสทีมมหาวิทยาลัยยอนเซทั้งเก่ง ทั้งหน้าดี และคว้าแชมป์ในปี 1994 - คนที่โดดเด่นสุดคือ "ลี ซังมิน" ซึ่งมีคะแนนนิยมสูงกว่านักกีฬาคนอื่นๆ) ปี 1994 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่ากรุ๊ปปี้ (ทั้งที่คลั่งนักร้องและนักกีฬา) ในเกาหลีใต้

เรื่องย่อ


"Reply 1994 คิดถึงเธอ" จะพาเราย้อนกลับไปดูชีวิตวัยรุ่นในกรุงโซลเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเป็นยุคที่เพจเจอร์คือ อุปกรณ์สื่อสารอันทันสมัยและอินเทรนด์ที่สุด โดยเล่าเรื่องราวของ 6 นักศึกษา อายุ 20 ปี ที่ต้องจากอ้อมอกพ่อแม่เพื่อเข้ามาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในกรุงโซล (5 ใน 6 คนเป็นเด็กภูธรที่มาจากหลากหลายภูมิภาค แต่ละคนจึงมีสำเนียงพูดที่แตกต่างกัน)  ทั้ง 6 คนเข้าพักในหอพักย่านชินชอนที่ครอบครัว "ซอง นาจอง" เพิ่งซื้อกิจการมาหมาดๆ    (เป็นบ้านที่แบ่งพื้นที่บางส่วนให้นักศึกษาเช่าพักและมีอาหารบริการ)  นอกจากบทเรียนในตำราแล้ว เหล่านักศึกษาภูธรเหล่านี้ยังต้องปรับตัวและเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในแดนศิวิไลซ์ ท่ามกลางกระแสคลั่งไคล้กีฬาบาสเกตบอล และบอยแบนด์ "ซอ แทจี แอนด์ บอยส์" ตลอดจนกระแสสังคมและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปี 1994 (พ.ศ. 2537) 

ละครเปิดฉากขึ้นยามค่ำคืนที่กรุงโซล ในเดือนตุลาคม ปี 2013



"ซอง นาจอง" ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาของบางอย่างในกล่อง หลังเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในอพาร์ทเมนท์ (คอนโด) แห่งใหม่หมาดๆ  "โจ ยูนจิน" เพื่อนสนิทของนาจองเห็นสมุดภาพนักบาสชื่อดังสมัยเมื่อ 19 ปีก่อน วางอยู่บนชั้นหนังสือ จึงหยิบขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกทึ่งเพราะนึกไม่ถึงว่านาจองจะยังคงเก็บเอาไว้ นาจองรีบบอกเพื่อนให้เปิดดูอย่างทะนุถนอม เพราะนั่นคือของรักของหวงของครอบครัวเธอ (ทั้งคู่คุยกันด้วยสำเนียงท้องถิ่นของตน) ในที่สุด นาจองก็หาของที่ต้องการเจอ ปรากฏว่าสิ่งที่เธอควานหาคือ "ม้วนวิดีโอ"  ที่บันทึกภาพงานแต่งงานของเธอ (เธอตั้งใจว่าจะนำมาเปิดโชว์ในงานปาร์ตี้ฉลองขึ้นบ้านใหม่)

ทันใดนั้น ก็มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินออกมาหยิบของบางอย่างบนโต๊ะ และบอกนาจองว่าจะออกไปธุระข้างนอกสักครู่ นาจองได้แต่มองตามอย่างอ่อนใจที่ไม่อาจทัดทาน หรือห้ามปรามเด็กหนุ่มได้   

ระหว่างชั่งใจว่าจะดูวิดีโองานแต่งงานหรือไม่ สามีของนาจองก็โทรฯ เข้ามา นาจองแนะนำเส้นทางเลี่ยงรถติดแบบละเอียดยิบ (พูดสำเนียงโซล)  ทั้งยังฝากสามีซื้อกาแฟตามสไตล์คนเมือง (สั่งลด/เพิ่มส่วนผสมตามต้องการ ซึ่งฟังดูยุ่งยากเกินไปสำหรับสามีเธอ) ทำให้ถูกยูนจินแซวว่า ชาวเมืองมาซาน (จังหวัดคยองซางนัม-โด หรือคยองซางใต้) อย่างนาจองกลายเป็นสาวชาวกรุงเต็มตัวแล้ว  นาจองจึงบอกว่าเธออยู่กรุงโซลมานาน 19 ปี ใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตที่นี่ แล้วจะไม่ให้เธอกลายเป็นชาวกรุงได้อย่างไร


ยูนจินหันไปดูวิดีโองานแต่งงานของนาจอง  (ยูนจินเป็นคนถ่ายวิดีโอเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ปี 2002)  แล้วบอกว่าถ้าเทียบกับในวิดีโอแล้ว ตอนนี้นาจองเป็นชาวโซลขนานแท้ไปแล้วจริงๆ นาจองเห็นภาพตัวเองสวมชุดเจ้าสาวโดยมีมงกุฏนางงามอันใหญ่อยู่บนหัวก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองทำไปได้ ในวิดีโอมีเสียงยูนจินแซวนาจองให้รีบหนีก่อนที่จะสูญเสียอิสรภาพ นาจองเหน็บเพื่อนว่าตัวเองมีชีวิตคู่ที่แฮปปี้แต่กลับยุให้คนอื่นแก่เฒ่าตามลำพัง

ยูนจินให้เหตุผลว่าหลังแต่งงานนาจองจะอดตามไปเชียร์ "ลี ซังมิน" (นักบาสฯ ชื่อดังของเกาหลีในยุคนั้น) ที่เมืองชอนจู  นาจองในชุดเจ้าสาวแย้งว่า สามีเธอสัญญาว่าจะให้ตามไปเชียร์ในช่วงวันหยุด ยูนจินโวยลั่นว่าอย่าเชื่อคำมั่นที่ผู้ชายให้ไว้ก่อนแต่งงาน นาจองยิ้มและบอกให้ยูนจินถามเจ้าบ่าวเอาเอง ยูนจินจึงหันกล้องไปทางเจ้าบ่าว แต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าภาพก็ถูกตัดไปเสียก่อน (เพื่อให้คนดูไขปริศนาว่าใครกันแน่ที่เป็นสามีของนาจอง)

ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1994



นาจอง นั่งดูละครเกี่ยวกับบาสเกตบอล เรื่อง "The Final Match" (นำแสดงโดย ซอน จีชาง และ จาง ดองกัน ออกอากาศต้นปี 1994) กับ "ซอง ดงอิล" ผู้เป็นพ่อ และพี่ชาย (ไม่ใช่พี่แท้ๆ) ซึ่งมีฉายาว่า "ซือเรกี" (แปลว่า ขยะ) ทั้ง 3 คนต่างพากันส่ายหัวและโยกตัวตามเพลงประกอบละครอย่างเมามัน (เพลงร็อค) ขณะที่ "ลี อิลฮวา" แม่ของนาจองกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารในครัว ระหว่างดูละครพ่อนาจองบ่นว่าฉากสแลมดังก์ จาง ดองกัน เก่งเว่อร์ พี่ชายนาจองเออออไปกับพ่อ พร้อมทั้งกล่าวเสริมว่าดองกันไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ เขาต้องยืนชู้ตบนเก้าอี้แน่ๆ  นาจองแย้งว่าละครก็คือละครถ้าไม่ชอบดูก็กลับเข้าห้องไป พี่ชายนาจองแย้งว่าที่ตนชอบดูก็เพราะมี "ดาซึล" (ชื่อนางเอกในละคร) ไม่นานสองพี่น้องก็เริ่มทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ ทำให้โดนพ่อดุด้วยกันทั้งคู่  

หลังจากนั้น แม่นาจองก็ออกจากครัวพร้อมถาด (กระด้ง) ใส่เส้นบะหมี่กองโต หลังจากนั้นเธอก็เข้าไปหิ้วถังใส่น้ำซุปพร้อมกระบวยออกมาวางข้างโต๊ะ ทุกคนเห็นแล้วถึงกับอึ้งเพราะอาหารที่แม่นาจองนำมาเสิร์ฟนั้นเลี้ยงคนได้เป็นสิบ แถมพ่อกับแม่นาจองได้ตกลงกันก่อนหน้านี้ว่าจะทานอาหารเบาๆ  แม่นาจองแย้งว่ามีเหลือเฟือดีกว่าไม่พอกิน พอตักแบ่งกันแล้วเดื๋ยวก็หมดเอง  เธอยังใช้ให้นาจองไปหยิบแตงกวาและไข่ต้มในห้องครัว ก่อนนำทุกอย่างมาแบ่งใส่ในชามขนาดใหญ่ยักษ์ให้ทุกคนทาน โดยบอกว่าที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะทุกคนต้องเกาะติดละครดังหน้าจอทีวี



 ระหว่างดูทีวี นาจองและพี่ชายเริ่มเปิดศึกกันอีกครั้งหลังมีปากเสียงกันเรื่องนักบาสฯ  "ลี ซังมิน"  (นาจองได้ยินว่าซังมินจะปรากฏตัวในละครดังเรื่องนี้เลยตั้งตารอ) ทั้งคู่ยังถกเถียงกันว่าทีมใดจะเป็นฝ่ายชนะ (นาจองเชียร์ทีมยอนเซของซังมิน ส่วนพี่ชายเชียร์ทีมเกีย)  เมื่อนาจองโดนพี่ชายหยิกแก้ม เธอจึงเอาคืนด้วยการจิกผม พ่อและแม่มองทั้งคู่ตีกันแล้วหันไปมองทีวีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งนักศึกษาเจ้าของฉายา  "เฮเท" กลับมาถึงบ้าน ทั้งคู่จึงสงบศึกชั่วคราว แม่นาจองบอกให้เฮเททำความสะอาดห้อง เพราะพรุ่งนี้รูมเมทของเขาจะมาเข้าพัก เฮเทรับปากอย่างนอบน้อมและทักทายนาจองอย่างเป็นกันเองก่อนกลับเข้าห้อง

หลังทราบว่านาจองและเฮเทเรียนภาควิชาเดียวกัน (วิศวกรรมคอมพิวเตอร์) พ่อนาจองก็รู้สึกตื่นเต้นและคิดว่าอาจเป็นโชคชะตาที่ดลบันดาลให้นักศึกษา (ลูกค้า) คนแรกในประวัติศาสตร์การเป็นเจ้าของหอพักของตน คือเพื่อนที่เรียนภาควิชาเดียวกับนาจอง (คิดว่านาจองและเฮเทอาจเป็นเนื้อคู่กัน) นาจองแย้งว่ายังมีอีกคนที่อยู่ภาควิชาเดียวกับเธอ ทันใดนั้น นักศึกษาสาวนามว่า "ยูนจิน" ก็เดินเข้าบ้านในสภาพคอตก ผมเผ้าปิดหูปิดตา เธอเดินผ่านทุกคนเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา ไม่มองหน้าใคร และไม่ยอมทานบะหมี่ตามคำชวนของพ่อนาจอง (พ่อนาจองเรียกเธอว่า "ยอซู" ตามชื่อเมืองที่เธอจากมา) 

แม่นาจองเห็นยูนจินกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ตามลำพังจึงเตือนให้กลับบ้านเร็วขึ้น เธอเดาว่ายูนจินคงเพิ่งกลับจากย่านยอนฮี (อยู่ใจกลางซอแดมุน ใกล้มหาวิทยาลัยยอนเซ) อีกตามเคย พ่อนาจองนึกว่ายูนจินไปพบอดีตประธานาธิบดี "ชอน ดูฮวาน" ที่เพิ่งกลับจากวัดเพ็คดัมหลังหนีไปปลีกวิเวกเพื่อหลบข่าวฉาว (บ้านอดีตประธานาธิบดี "ชอน ดูฮวาน" อยู่ในย่านยอนฮี) แม่นาจองเลยชี้ชัดว่าบ้านนักร้องดัง "ซอ แทจี" อยู่ที่นั่น และยูนจินคงไปนั่งเฝ้าหน้าบ้านเขาจนดึกดื่นโดยหวังว่าจะได้เห็นหน้านักร้องคนโปรดสักครั้ง แม่นาจองยังบอกด้วยว่า เมื่อวานนี้ยูนจินถือโยเกิร์ตกลับบ้านประหนึ่งว่ากำลังถือคบเพลิงโอลิมปิก เพราะเป็นโยเกิร์ตที่แม่ของนักร้องหนุ่มให้มา

  
พ่อนาจองได้ยินดังนั้นก็ถือโอกาสเหน็บลูกสาว โดยพูดลอยๆ ว่าเหมือนใครบางคนที่พ่อกับแม่ต้องทำงานงกๆ เพื่อส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย แต่ลูกสาวกลับเอาเวลาไปเที่ยวไล่ตามซุป'ตาร์ นาจองรู้ว่าพ่อหมายถึงตน (พูดกรอกหูซะขนาดนั้น)  เธอจึงกล่าวโดยไม่ยอมละสายตาจากจอทีวีว่า สำหรับเธอแล้วถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและ "มีลุ้น" เมื่อถูกพ่อถามว่ามีลุ้นเรื่องอะไร นาจองก็ตอบหน้าตาเฉยว่า "มีลุ้นว่าจะได้แต่งงานกับพี่ซังมิน'  เธอให้เหตุผลว่านักกีฬาเข้าถึงง่ายกว่าดารา/นักร้อง เนื่องจากนักกีฬายังคงเดินดิน กินบะหมี่ข้างทางเหมือนคนทั่วไป  ทั้งยังเป็นกันเองมากกว่า และเธอก็เคยโทรหา 'พี่ซังมิน' มาแล้วครั้งหนึ่ง  หากพยายามมากขึ้นอีกนิดเธอคงได้ออกเดทและแต่งงานกับเขาในที่สุด

พี่ชายนาจองได้ยินดังนั้นจึงดับความหวังโดยบอกว่า นักบาสฯ ของมหาวิทยาลัยยอนเซมักออกเดทกับนักศึกษาภาควิชาศิลปการแสดงของมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ซึ่งล้วนแล้วแต่หุ่นเป๊ะ (เอวเล็ก อกใหญ่) ทั้งสิ้น แต่นาจองยังคงแถว่าหุ่นเธอก็ไม่เป็นสองรองใครพลางเต้นส่ายเอวให้ดู ทำให้โดนพี่ชายหยิกเอวด้วยความหมั่นไส้ และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่เปิดศึกกันอีกครั้ง  นาจองมัวแต่ทะเลาะกับพี่ชายเลยพลาดดูฉากสำคัญ กว่าจะรู้ตัวทีมของจาง ดองกัน (ในละคร) ก็ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 "ดาซึล" (ชื่อในละครของนางเอกเรื่อง  "The Final Match")


นาจองตะโกนให้กำลังใจซังมินขณะฝึกซ้อม โดยร้องว่า "พี่คะ ดาซึล อยู่นี่!"

วันต่อมา นาจองมาเกาะขอบสนามดูขวัญใจนักบาสฝึกซ้อม เธอเป็นคนเดียวที่ตะโกนให้กำลังใจซังมินสุดเสียงตลอดเวลา ซ้ำยังร้องโวยวายและตำหนิผู้เล่นคนอื่นๆ เมื่อไม่ได้ดั่งใจ โดยไม่สนใจว่าอาจทำให้นักกีฬาเสียสมาธิ แฟนคลับรุ่นน้องที่มาด้วยกันเห็นดังนั้นก็อดรนทนไม่ไหวจึงดึงนาจองให้นั่งลงและบอกให้เธอดูเงียบๆ แต่นั่งได้ไม่ถึงนาทีนาจองก็ลุกขึ้นมาร้องตะโกนอีกครั้ง ก่อนบ่นด้วยความน้อยใจว่าเธอออกตัวแรงขนาดนี้แต่ซังมินยังทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน

แฟนคลับวัยมัธยมคนหนึ่งบอกนาจองว่า เธอเพิ่งโทรฯ คุยกับนักบาสฯ คนโปรด "อู จีวอน"  พร้อมทั้งเล่าว่าตอนที่โทรฯ ไป 'พี่คยองอึน' ("มูน คยองอึน" นักบาสชื่อดังอีกคนของทีมมหาวิทยาลัยยอนเซ) เป็นคนรับสาย พอเธอขอสายจีวอนเขาก็รีบไปตามให้ทันที ตอนที่คุยกันจีวอนบอกเธอว่า ซังมินไม่ชอบให้ใครมาร้องตะโกนหรือส่งเสียงกรี๊ด (แบบที่นาจองทำ) ตอนที่เขาฝึกซ้อม เพราะจะทำให้เสียสมาธิ นาจองแย้งว่านักบาสฯ คนอื่นๆ ต่างก็ใจดีกับแฟนคลับ แฟนคลับวัยมัธยมอีกคนหนึ่งแทรกว่า เมื่อวานนี้ "คิม ฮุน" (นักบาสชื่อดังอีกคน) เพิ่งซื้อขนมเค้กที่ร้านกรีนเฮ้าส์ (ร้านขนมชื่อดังแห่งยุค) มาฝากพวกเธอ นาจองฟังแล้วได้แต่ทอดถอนใจก่อนกล่าวว่า หากเธอไม่แสดงความรู้สึกออกมาซังมิงคงไม่มีวันรู้ว่าเธอชอบเขา


ตัดไปที่บ้าน (หอพัก) ของนาจอง... แม่นักศึกษาคนหนึ่งโทรฯ มาจากต่างจังหวัด (เมืองซัมชอนโป) เพื่อฝากฝังให้ช่วยดูแลลูกชายของตนซึ่งกำลังเดินทางไปที่หอพัก แม่นาจองรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยดูแลเด็กหนุ่มเหมือนเป็นลูกชายของตน พร้อมทั้งบอกว่าครอบครัวของตนเพิ่งย้ายรกรากมาจากเมืองมาซานได้แค่เดือนเดียว เธอจึงเข้าใจความรู้สึกของคนไกลบ้านเป็นอย่างดี แม้จะเพิ่งทำธุรกิจหอพักเป็นครั้งแรก แต่เธอจะดูแลเด็กๆ ทุกคนเสมือนเป็นญาติ ถึงกระนั้น แม่ของนักศึกษาคนดังกล่าวก็ยังกลัวว่าอากาศที่กรุงโซลจะหนาว จึงขอให้แม่นาจองช่วยดูแลลูกของเธอเป็นกรณีพิเศษ เพราะลูกเธอค่อนข้างบอบบาง เธอยังบอกด้วยว่าลูกชายของตนหน้าเหมือน "เลสลี่ จาง" แม่นาจองได้ยินแล้วรู้สึกตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะมีนักศึกษาหนุ่มหน้าเหมือนดาราฮ่องกงมาพักที่บ้านของเธอ

หลังแม่นาจองวางสาย นักศึกษาคนดังกล่าวซึ่งมีฉายาว่า "ซัมชอนโป" ก็โทรฯ เข้ามา ปรากฏว่าเขาหน้าตาแย่และไม่เหมือนเลสลี่ จางสักนิด เขาเพิ่งลงรถไฟที่สถานีโซลจึงโทรฯ มาสอบถามทางไปหอพัก โดยโม้ว่านี่เป็นการมาโซลครั้งที่ 2 ของตน เมื่อถูกถามว่ามาเองได้ไหม ขึ้นรถไฟใต้ดินถูกหรือเปล่า ซัมชอนโปก็โม้อีกว่าตนเพิ่งนั่งรถไฟมาจากต่างจังหวัด การขึ้นรถไฟใต้ดินจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตน แม่นาจองบอกให้เขาขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีชินชอน แล้วใช้ทางออกหน้าศูนย์การค้าเกรซ เธอถามซัมชอนโปว่ารู้จักศูนย์การค้าเกรซไหม ซัมชอนโปบอกแม่นาจองว่าอย่าล้อเล่น (ดังจะตายใครจะไม่รู้จัก) แม่นาจองจึงบอกต่อว่า ออกมาแล้วให้เดินไปตามถนนผ่านหน้าสวนสาธารณะ พอถึงสี่แยกจะเจอร้านอาหารปิ้งย่างชื่อ "บราเธอร์ส บาร์บีคิว" เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเจอร้านกาแฟชื่อ "อีเกิ้ล" และถ้าเดินเข้าไปในซอยนั้นก็จะเจอป้ายหอพักชินชอน หลังบอกเส้นทางละเอียดยิบแล้ว แม่นาจองกลับแนะนำให้ซัมชอนโปขึ้นรถแท็กซี่ที่หน้าศูนย์การค้าเกรซ  แม้ซัมชอนโปจะยืนยันกับแม่นาจองว่าตนไปถูก แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขากลับทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี



หลังนักบาสฯ ทีมมหาวิทยาลัยยอนเซซ้อมเสร็จแล้ว นาจองและบรรดาแฟนคลับ (กรุ๊ปปี้) ทั้งหลายก็ออกไปดักรอนักบาสฯ คนโปรดของตนที่หน้าทางออก (รถตู้ของนักกีฬาเต็มไปด้วยข้อความจากเหล่าแฟนคลับ)  ในที่สุดเหล่านักบาสฯ ทีมดังก็เปิดประตูออกมา นำโดย "มูน คยองอึน", "อู จีวอน" และ "คิม ฮุน" (3 อดีตนักบาสฯ ระดับตำนานตัวจริงเสียงจริง มาร่วมแสดงเป็นตัวเอง จึงแลดูแก่ไปนิดสำหรับนักกีฬาไอดอลระดับมหาวิทยาลัย - ตอนนี้พวกเขาอยู่ในวัย 40 ปีแล้ว)

นาจองส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซังมินซับเหงื่อ (คนดูไม่เห็นหน้า เพราะใช้นักแสดงแทน) ซังมินจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อแล้วเดินขึ้นรถตู้โดยไม่คืนผ้าเช็ดหน้าให้นาจอง  นาจองออกอาการปลื้มสุดๆ หลังจากนั้นเธอชักชวนแฟนคลับรุ่นน้องให้รีบวิ่งไปดักรอนักบาสที่หอพักนักกีฬาในมหาวิทยาลัยโดยใช้เส้นทางลัด 



แม่นาจองเห็นซือเรกีกินนมบูดในตู้เย็นเลยบ่นว่าสมแล้วที่เขาถูกตั้งฉายาว่า "ขยะ" ทั้งยังบ่นว่ารสนิยมการแต่งตัวเขาแย่มาก แถมยังใส่เสื้อตัวเดิมโดยไม่ซักตั้งหลายวัน หลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้ว เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ทันดูว่าว่ามีมันฝรั่ง (เพิ่งต้มสุกใหม่ๆ) วางอยู่ แม่นาจองจึงทักอย่างอ่อนใจว่าเขานั่งทับมันฝรั่ง ซือเรกีรีบลุกขึ้นพลางกล่าวว่า นึกว่าแม่เปิดเครื่องทำความร้อนเสียอีก หลังถูกใช้ให้นำเสื้อ (ชุดชั้นใน) นาจองไปเก็บที่ห้อง ซือเรกีก็ยืนดูโปสเตอร์ซังมินในห้องของนาจองด้วยความหมั่นไส้  พลางนึกสงสัยว่าคนอย่างซังมินมีดีตรงไหน พอเห็นว่าห้องนาจองทั้งสะอาดและเป็นระเบียบ เขาก็เหน็บว่านาจองเป็นโรคกลัวมลภาวะและเชื้อโรค (mysophobia) เมื่อเปิดลิ้นชักโต๊ะนาจองแล้วเห็นขนมวางเรียงอยู่เขาก็หยิบออกมากินหน้าตาเฉย

แม่ซัมชอนโปโทรฯ มาถามข่าวคราวลูกอีกครั้ง พร้อมทั้งย้ำให้เปิดฮีทเตอร์เพราะกลัวลูกหนาว แม่นาจองแย้งว่าตอนนี้อากาศที่โซลไม่หนาวสักนิด เธอยังบอกอีกว่าดูท่าทางซัมชอนโปเป็นเด็กฉลาดจึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วงและคงใกล้มาถึงหอพักแล้ว... ในตอนนั้นซัมชอนโปกำลังนั่งงง (และหนาว) อยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน เขานึกว่าจะเหมือนรถไฟธรรมดาเลยเงี่ยหูฟังประกาศว่าขบวนใดจะมุ่งหน้าไปชินชอน หลังนั่งรออยู่นาน (ผ่านไปกว่า 10 ขบวน) เขาก็ถามลุงที่นั่งข้างๆ (พยายามพูดสำเนียงโซล) ว่าเมื่อไหร่รถไฟสายชินชอนจะมา กว่าจะรู้ว่าระบบรถไฟใต้ดินมีความซับซ้อนกว่ารถไฟบนดินที่วิ่งข้ามจังหวัดก็เสียเวลาไปนานนับชั่วโมง (จากสถานีนี้เขาสามารถขึ้นขบวนใดก็ได้เพราะเส้นทางโยงใยกันเป็นเครือข่าย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนสถานีระหว่างทางบริเวณที่ว่าการกรุงโซล) 


บ่ายวันนั้น ซือเรกีกับพ่อพากันแหกปากร้องคาราโอเกะเพลง  "Excuse" ของศิลปิน "คิม กอนโม" เสียงดังลั่น พลางทำท่าทางประกอบเลียนแบบนักร้องดัง โดยลืมคิดไปว่าตอนนี้พวกตนกำลังอยู่ในกรุงโซล แม่นาจองกลัวถูกเพื่อนบ้านร้องเรียนเลยรีบออกมาเตือน โดยบอกว่าที่นี่คือโซลไม่ใช่เมืองมาซานบ้านเกิดของพวกตน พ่อนาจองไม่ฟังทั้งยังแย้งว่าตนร้องเพลงอยู่ในบ้าน ไม่นานก็มีเพื่อนบ้านมากดกริ่งและต่อว่าถึงหน้าบ้านอย่างที่แม่นาจองเตือนจริงๆ พ่อนาจองโวยวายลั่นว่าตนเพิ่งร้องแค่เพลงเดียวและเสียงก็ไม่ได้ดังมากซักหน่อย แม่นาจองจึงบอกว่าคนกรุงไม่ใจดีเหมือนคนต่างจังหวัด ถ้าอยากอยู่ที่นี่อย่างกลมกลืนก็ต้องหัดใจแคบเหมือนคนโซล หลังบ่นเสร็จแม่นาจองก็ชวนสามีและซือเรกีทานส้ม พอเห็นว่ามีการนำส้มลูกใหญ่มาวางตบตาทางด้านบนแล้วเอาส้มลูกเล็กไปซ่อนไว้ทางด้านล่างเธอก็รับไม่ได้ เลยชวนสามีย้ายกลับไปอยู่บ้านนอกตามเดิม


นาจองและเหล่าบรรดาแฟนพันธุ์แท้นักบาสฯ พากันไปยืนรอนักกีฬาของตนหน้าหอพัก ทันทีที่รถตู้นักกีฬาวิ่งมาถึง ทุกคนก็วิ่งกรูเข้าไปหาและร้องเรียกนักกีฬาคนโปรดของตน บางคนนำดอกไม้และของขวัญมามอบให้  คงมีเพียงนาจองที่เข้าไปคว้าแขนของซังมินแล้วทวงผ้าเช็ดหน้าคืน เธอกล่าวพลางบีบน้ำตาว่า นั่นเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่คุณปู่ผู้ล่วงลับของเธอให้มา ซังมินจึงคืนผ้าเช็ดหน้าให้นาจองแล้วเดินเข้าหอพักไป หลังจากนั้น นาจองก็นำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาดมและสูดกลิ่นเหงื่อของซังมินด้วยความปลาบปลื้ม 

แม่ซัมชอนโปโทรฯ มาหาแม่นาจองด้วยความเป็นห่วงลูกชาย เพราะใกล้ค่ำแล้วแต่ซัมชอนโปยังมาไม่ถึงหอพัก แม่นาจองได้แต่ปลอบใจโดยบอกว่าซัมชอนโปอายุ 20 แล้วยังไงก็ไม่หลงแน่ๆ ปรากฏว่าในตอนนั้นซัมชอนโปกำลังลงรถไฟสายสีแดงเพื่อไปต่อรถไฟสายสีเขียวที่วิ่งผ่านสถานีชินชอน หลังหาทางลงไปยังชานชาลาได้แล้ว เขาก็เข้าคิวซื้อตั๋วพลางฝึกพูดสำเนียงโซล เมื่อถึงคิวซื้อตั๋วเขาก็พยายามพูดสำเนียงโซลว่า "ตั๋วเที่ยวเดียวหนึ่งใบครับ" จากนั้นก็ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ แต่สุดท้ายคนขายตั๋วก็ถามว่าเขาเพิ่งมาจากต่างจังหวัดหรือ (ปกติแล้วคนที่ขึ้นรถไฟใต้ดินเป็นประจำจะใช้ตั๋วแบบเติมเงินหรือแบบระบุวัน ดังนั้น คนที่มาเข้าคิวหน้าตู้ขายตั๋วล้วนเป็นคนที่ต้องการซื้อตั๋วแบบใช้ครั้งเดียว จึงไม่มีใครพูดย้ำว่าขอซื้อตั๋วประเภทดังกล่าวอีก)  



ด้านนายองและเหล่าแฟนคลับยังคงปักหลักรอนักบาสฯ คนโปรดที่หน้าหอพักภายในมหาวิทยาลัย  เมื่อมูน คยองอึน เดินลงบันไดมา แฟนคลับของอู จีวอนก็วิ่งเข้าไปหาและถามว่าอู จีวอนไม่ลงมาด้วยหรือ คยองอึนจึงช่วยเรียกจีวอนให้ นาจองจะถามถึงซังมินแต่ถามไม่ทัน เธอจึงได้แต่มองตามหลังคยองอึนพลางบ่นด้วยความสงสัยว่าทำไมคยองอึนถึงได้อ้วนขึ้นขนาดนี้ (สมัยเมื่อ 19 ปีก่อนคยองอึนคนนี้ยังเป็นนักบาสหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆ และไม่ท้วมขนาดนี้) 




ครั้นพอจีวอนออกมาจากหอ แฟนคลับวัยมัธยมที่อยู่ก๊วนเดียวกับนาจองก็เดินตามไปคุยด้วย ซึ่งจีวอนก็พูดคุยกับแฟนๆ อย่างเป็นกันเอง ก่อนเตือนทุกคนว่าเวลาที่พวกตนฝึกซ้อมอย่าเชียร์เสียงดัง เมื่อสบโอกาสนาจองก็ถามถึงซังมิน จีวอนบอกว่าซังมินกำลังจะออกไปทานข้าวเย็นกับครอบครัว พอหันไปเห็นซังมินกำลังจะขึ้นรถ นาจองก็ตะโกนเรียกและรีบวิ่งไปหา แต่ปรากฏว่าไม่ทัน

ในเวลาเดียวกันนั้น  ซัมชอนโปก็กำลังผจญภัยอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดิน หลังสอดบัตรเข้าประตูอัตโนมัติฝั่งขาออกแล้ว เขาสังเกตว่าคนอื่นๆ ต่างก็ได้บัตรคืน มีเพียงตนเท่านั้นเครื่องไม่คืนบัตรให้ (เพราะซื้อตั๋วเที่ยวเดียว) พอเห็นว่าอยู่ๆ ก็มีบัตรเด้งออกมา ซัมชอนโปเลยนึกว่าเป็นของตัวเองและหยิบไปหน้าตาเฉย ทำให้โดนเจ้าของตัวจริงวิ่งมาทวงคืน


ขณะที่ซัมชอนโปกำลังยืนงงที่สถานีรถไฟ พ่อนาจองและซือเรกีก็กำลังดูละครดังเรื่อง  "Seoul's Moon" ซึ่งเป็นฉากที่ตัวละครหลักนั่งรถไฟจากบ้านนอกเข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองกรุง ส่วนแม่นาจองกำลังรับสายแม่ของซัมชอนโปที่โทรฯ มาด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากจนป่านนี้ลูกยังมาไม่ถึงหอพักเสียที ในตอนนั้นซัมชอนโปกำลังวิ่งหาทางออกฝั่งศูนย์การค้าเกรซ เมื่อเห็นตึกแกรนด์ตรงหน้าเขาก็ถามนักศึกษาคนหนึ่ง (ซึ่งเป็นแนวร่วมชาวนาที่กำลังคัดค้านการลงสัตยาบันเพื่อเข้าร่วมกับ WTO ในการเจรจารอบอุรุกวัย) ว่านี่คือศูนย์การค้าเกรซใช่มั๊ย นักศึกษาคนดังกล่าวชี้ตึกฝั่งตรงข้ามแล้วบอกว่าตรงนั้นต่างหากคือศูนย์การค้าเกรซ ซัมชอนโปถามด้วยความดีใจว่าจะข้ามไปฝั่งนั้นได้ยังไง ปรากฏว่าหนุ่มนักเคลื่อนไหวบอกให้เขาลงบันไดไปทางเดิม (ทางออกของสถานีรถไฟใต้ดินที่ซัมชอนโปเพิ่งเดินขึ้นมา)

ซัมชอนโปวิ่งขึ้น-ลงทางออกสถานีรถไฟใต้ดินหลายครั้งราวกับติดอยู่ในเขาวงกต เขาใช้ทางออกที่ 5, 4 และ 6 แต่ก็ไปโผล่ฝั่งตรงข้ามศูนย์การค้าเกรซตลอด (ซ้ำยังเป็นทางออกที่ไกลกว่าเดิม) หลังวิ่งจนขาลากแต่ยังข้ามฝั่งไม่ได้สักที แถมครั้งสุดท้ายยังขึ้นมาโผล่ที่เดิม (หน้าตึกแกรนด์) ซัมชอนโปก็เริ่มท้อใจและคิดว่าควรกลับบ้านนอกดีไหม

ขณะเดียวกัน พ่อและพี่ชายของนาจองยังคงนั่งดูละคร เรื่อง "Seoul's Moon" ซึ่งเป็นฉากที่พระเอกนั่งรถแท็กซี่ออกจากสถานีรถไฟโซล พ่อนาจองร้องถามภรรยาว่าอาหารเย็นเสร็จหรือยัง เขาเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วแต่ซัมชอนโปยังมาไม่ถึงหอพักสักทีเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งได้ยินว่าซัมชอนโปเป็นหนุ่มหน้าใสและหน้าหวานเหมือนผู้หญิงจึงกลัวว่าจะเกิดอันตราย ซือเรกีแย้งว่าซัมชอนโปอายุ 20 แล้ว ถ้ามาไม่ถูกก็ควรไปตายซะ และถ้าหากเขามาไม่ถูกจริงๆ ก็ควรให้แท็กซี่พามาส่ง


ในที่สุด ซัมชอนโปก็นั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน คนขับรถแท็กซี่รู้ว่าเขาเพิ่งมาจากต่างจังหวัดเลยขับอ้อมโลกหวังฟันค่าโดยสาร ซัมชอนโปเห็นรถวิ่งผ่านสถานีรถไฟโซลต่เลยรู้ตัวว่าโดนแท็กซี่โกงแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ระหว่างที่พ่อ แม่ และพี่ชายนาจอง กำลังนั่งดูละครเรื่อง "Seoul's Moon" ก็มีเพื่อนบ้านมาขอให้หรี่เสียงโทรทัศน์เพราะลูกชายของพวกเขากำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย (ต้องอ่านตำรา) พ่อนาจองโวยลั่นหลังทำอะไรนิดหน่อยก็โดนบ่นโดนด่า ขณะที่แม่นาจองเองก็รู้สึกอึดอัดและกังวลว่าจะใช้ชีวิตที่นี่อย่างมีความสุขได้หรือไม่ แต่ซือเรกียังคงมองโลกในแง่ดีจึงบอกพ่อกับแม่ว่าคนดีๆ แถวนี้มีถมไป




แม้จะมืดค่ำแล้ว แต่นาจองยังคงดักรอซังมินในร้านสะดวกซื้อย่านยอนฮี  แฟนคลับรุ่นน้องเห็นว่าค่ำแล้วเลยแนะนำให้เธอมาใหม่พรุ่งนี้ แต่นาจองบอกว่าเธอยืมกล้องพ่อมาได้แค่วันนี้วันเดียวเลยต้องถ่ายรูปซังมินให้ได้ ปรากกฏว่ายูนจินก็กำลังนั่งรอนักร้องคนโปรด "ซอ แทจี" อยู่ในร้านด้วยเช่นกัน (บ้านซอ แทจีอยู่ในละแวกนี้) ทันใดนั้นก็มีรถสีดำคันหนึ่งวิ่งมาจอดติดไฟแดงที่หน้าร้าน นาจองและยูนจินรีบวิ่งออกไปถ่ายรูปชายที่นั่งอยู่ในรถพลางร้องเรียก "พี่คะๆ" และกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง

เมื่อเห็นยูนจินเดินจากไปด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม นาจองก็กล่าวอย่างเห็นใจว่า ยูนจินคงนึกว่าคนที่นั่งอยู่ในรถคือ "ซอ แทจี" แฟนคลับรุ่นน้องถามว่า แล้วถ้าในรถคือแทจีจริงๆ ล่ะ นาจองแย้งอย่างมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอมีสายตาอันแหลมคม และเธอยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ซังมินขึ้นรถฮุนได แกรนด์ดูเออร์ สีดำ 

ในที่สุดคนขับรถแท็กซี่ก็ปล่อยซัมชอนโปลงแถวๆ ชินชอนโรตารี่ เมื่อซัมชอนโปเหลือบมองมิเตอร์ก็พบว่าค่าโดยสารสูงถึง 20,000 วอน (ราว 624 บาท) ระหว่างส่งเงินให้คนขับตัวเลขในมิเตอร์ก็ขยับเพิ่มเป็น 20,100 วอน (เพิ่มอีกราว 3 บาท) เขามองหน้าคนขับเพื่อขอความเห็นใจ แต่คนขับกลับกระดิกมือรอ เขาเลยต้องควานหาเศษเหรียญในกระเป๋า พอเห็นว่าไม่มีเงินเหรียญซัมชอนโปเลยยื่นแบงค์ให้คนขับอย่างเสียไม่ได้ หลังจากนั้นคนขับก็ทอนเงินให้เขาอย่างครบถ้วน ซัมชอนโปได้แต่ถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะตอนนี้ 3 ทุ่มกว่าแล้วแต่เขายังไปไม่ถึงหอพักเสียที เขาจึงโทรฯ ไปหาแม่นาจองแต่กลับพบว่าสายไม่ว่าง เพราะแม่ของเขากำลังโทรฯ คุยกับแม่นาจอง


เมื่อนาจองกลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น เพราะซือเรกีนำชุดชั้นในของเธอมาวางเรียงบนที่นอน ซ้ำยังนำเสื้อในและกางเกงในไปสวมให้ตุ๊กตา แม่นาจองเห็นดังนั้นก็ขำกลิ้ง แต่นาจองไม่เห็นเป็นเรื่องขำทั้งยังรู้สึกโกรธมาก เมื่อแม่ใช้ให้เธอไปนำเสื้อผ้าของพี่ชายออกมาเข้าเครื่องซัก นาจองก็ได้โอกาสแก้แค้น เธอจับพี่ชายถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นจนเปลือยกายล่อนจ้อน (อยู่ใต้ผ้าห่ม) หลังนาจองออกจากห้องไปแล้ว  ซือเรกีก็หลอกให้นาจองกลับมาที่ห้องของตนอีกครั้งหวังให้เธอช่วยปิดไฟ

พ่อนาจองเห็นว่าดึกมากแล้วเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปตามหาซัมชอนโป โดยบอกภรรยาว่าหากตนสวนทางกับซัมชอนโปให้เพจไปบอก (เขาบอกให้ภรรยาส่งข้อความเป็นตัวเลข 10 10 2 3 5 เพราะออกเสียงคล้ายคำว่า "ฉันรักคุณมาก") ทันใดนั้น ก็มีเสียงกดกริ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านพ่อนาจองก็อารมณ์เสียเพราะนึกว่าจะโดนบ่นเรื่องเครื่องซักผ้าส่งเสียงดังรบกวน หรือถูกห้ามไม่ให้ทำอะไรตามใจชอบในบ้านตัวเองอีก แต่แล้วกลับผิดคาด เพราะเพื่อนบ้านมาเตือนให้รีบเก็บเสื้อผ้าเพราะฝนกำลังจะตก ไม่นานฝนก็ลงเม็ดจริงๆ แม่นาจองรู้สึกซาบซึ่งใจมากจึงรีบเข้าไปในครัวโดยบอกว่าจะนำขนมไปให้เพื่อนบ้านทาน ทั้งเธอและสามีต่างยิ้มอย่างมีความสุขหลังได้รับไมตรีจากเพื่อนบ้านเป็นครั้งแรก


ขณะที่สายฝนเริ่มโปรยปราย ซัมชอนโปยังคงยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์อย่างโดดเดี่ยว เขากดโทรศัพท์หาแม่ที่ต่างจังหวัดด้วยความคิดถึง และโกหกแม่ว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาบอกแม่ว่าตอนนี้ตนอยู่หน้าหอพัก ที่มาถึงช้าเพราะเจอเพื่อนกลางทาง เขายังบอกแม่ด้วยว่าตนทานข้าวเย็นแล้วและสัญญาว่าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินแม่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง  ซัมชอนโปก็ปลอบแม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าตนไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงกระนั้นแม่ของเขายังคงร้องไห้และบอกว่าคืนนี้เธอคงหลับไม่ลง หลังปล่อยให้ลูกรักจากอ้อมอกไปอยู่ในกรุงโซลตามลำพัง

ปรากฏว่ามีตำรวจ 2 นายยืนอยู่หน้าตู้โทรศัพท์และขอดูบัตรนักศึกษาของซัมชอนโป ซัมชอนโปกล่าวว่าตนยังไม่ได้บัตรจากทางมหาวิทยาลัย ตำรวจเลยขอดูบัตรประชาชน ซัมชอนโปจะล้วงมือหยิบกระเป๋าเงิน (ในกระเป๋าสะพาย) แต่กลับมีใบปลิวร่วงลงมา (เขาได้รับแจกหน้าทางออกสถานีรถไฟใต้ดิน)


ในที่สุดพ่อนาจองก็ต้องไปรับตัวซัมชอนโปที่สถานีตำรวจ ปรากฏว่าบรรดานักเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนถูกตำรวจรวบตัว ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังพร้อมใจกันส่งเสียงคัดค้านลั่นโรงพัก ทันทีที่มาถึงพ่อนาจองก็ถามหานักศึกษาที่หน้าตาเหมือนเลสลี่ จาง ตำรวจจึงชี้ไปที่ซัมชอนโป พ่อนาจองถึงกับอึ้งเมื่อเห็นหน้าซัมชอนโป เพราะเขาหน้าไม่เหมือนเลสลี่ จางสักนิด ซ้ำยังไม่เหมือนคนอายุ 20 อีกต่างหาก (หน้าแก่เกินวัย)




พ่อนาจองพาซัมชอนโปกลับบ้านพร้อมทั้งแนะนำว่า "นี่ไง "จาง กุกยอง" (คนเกาหลีเรียกเลสลี่ จาง ว่า "จาง กุกยอง") จากซัมชอนโป" ทั้งแม่และนาจองต่างรู้สึกผิดคาดเพราะนึกว่าเขาจะหน้าตาหล่อเหลา ด้วยความที่ซัมชอนโปหน้าตาเหมือนคนสูงวัย ทุกคนจึงพูดกับเขาด้วยภาษาสุภาพ แถมยังพร้อมใจกันคำนับตอบเขาอย่างนอบน้อมอีกด้วย

ขณะที่ซัมชอนโปกำลังจะเดินเข้าห้อง แม่นาจองก็ตะโกนบอกซัมชอนโปว่า แม่ของเขาส่งผ้าห่มนวมผืนใหญ่มาให้ ซัมชอนโปน้ำตาคลอเบ้าขณะยืนมองผ้าห่มของแม่ หลังล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่มได้ไม่นาน ซัมชอนโปก็แทบช็อคเมื่อพบว่ามีใครบางคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาจึงรีบลุกขึ้นและกำหมัดในท่าเตรียมพร้อม ไม่นานเฮเทก็โผล่หัวออกมาอย่างงัวเงีย เขาตะโกนบอกให้แม่นาจองปิดฮีทเตอร์เพราะรู้สึกร้อนจนตับแลบ ครั้นพอพูดจบเขาก็หลับต่อ พอรู้ว่าเป็นรูมเมทซัมชอนโปก็ล้มตัวลงนอนเคียงข้างเฮเท ด้วยความที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน พอหัวถึงหมอนเขาก็นอนหลับทันที


ซัมชอนโปกล่าวกับคนดูว่า "คืนแรกของผมที่กรุงโซล... สัมผัสอันอ่อนนุ่มของผ้าห่มและอากาศยามค่ำคืนที่ร้อนสลับเย็น  ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี สำหรับผมแล้วโซลในปี 1994  เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะมีผู้คนพลุกพล่านแต่กลับรู้สึกอ้างว้าง ทุกคนใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบแต่กลับแลดูเหนื่อยหน่ายเฉยชา แถมอากาศยังร้อนและเย็นในเวลาเดียวกัน โซลเป็นเมืองที่คนอย่างผมไม่มีวันเข้าใจ แม้พวกผมจะภูมิใจที่ได้เป็นประชากรของกรุงโซล แต่เราก็ยังไม่เป็นชาวโซลอย่างแท้จริง" 

ในเวลาเดียวกันนั้น นาจองก็นอนหนุนตักพ่ออยู่ที่ชั้นล่าง หลังถูกบังคับให้ลูบหัวอยู่นาน พ่อนาจองก็บ่นว่าเริ่มเมื่อยมือแล้ว นาจองอ้างว่าเธอยังไม่รู้สึกง่วงและขอให้พ่อลูบหัวต่อไป พ่อนาจองจึงถือโอกาสถามลูกสาวว่าวันนี้เธอไปตามเฝ้าซังมินอีกแล้วใช่ไหม นาจองบอกพ่อตามตรงว่าวันนี้เธอไปเฝ้าซังมินที่หอพักมาทั้งวัน เธอคิดว่าครอบครัวของเธอคิดถูกแล้วที่ย้ายมาอยู่โซล ถึงกระนั้น พ่อก็ยังเป็นห่วงว่านาจองจะปรับตัวและใช้ชีวิตในกรุงโซลได้อย่างมีความสุขไหม นาจองตอบว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เธอเป็นห่วง 3 คนนั้น (ซัมชอนโป, ยูนจิน และเฮเท) มากกว่า พ่อนาจองเหลือบมองชั้นบนแล้วบอกว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็จะปรับตัวได้เอง

นาจองกล่าวกับคนดูว่า "ตอนที่ชั้นอายุ 20  ทุกอย่างที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือผู้คนล้วนน่ากลัวไปหมด  ที่เดียวที่ทำให้พวกเราไม่รู้สึกว่าเป็นคนต่างถิ่นบนแผ่นดินที่ไม่คุ้นเคย และที่เดียวที่ทำให้พวกเรารู้สึกปลอดภัย คือที่นี่... บ้านของชั้น  "หอพักชินชอน" "



วันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างมารวมตัวกันทานอาหารเช้า ซือเรกีจำบ้านเกิดเฮเทไม่ได้จึงเรียกเขาว่า "ซุนชาง" (ชื่อเมือง) เฮเทแย้งอย่างอ่อนใจว่าตนมาจากเมืองซุนชอนและตนก็บอกเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว (ซือเรกีทานข้าวเลอะเทอะเหมือนเด็ก เดี๋ยวข้าวติดแก้ม เดี๋ยวทำน้ำซุปหก) พ่อนาจองถามซัมชอนโปว่าหลับสบายไหม ซัมชอนโปตอบว่าตนหลับสบายและขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง แม่นาจองถามต่อว่า เขาเรียนคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เหมือนนาจองใช่ไหม เฮเทได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า นึกว่ามีแต่ยูนจินที่เรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เหมือนตนและนาจองเสียอีก แม่นาจองหันไปมองยูนจินแล้วบอกให้เธอเลิกทำผมปิดหน้าปิดตาเพื่อที่เพื่อนๆ จะได้เห็นหน้า แต่ยูนจินกลับลุกขึ้นและขอตัวโดยไม่พูดไม่จาตามเคย แม่นาจองเห็นดังนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เธอจึงขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลยูนจิน


ทันใดนั้น นาจองก็วิ่งเข้าบ้านพลางกรีดร้องอย่างตื่นเต้นว่าได้รูปแล้ว เธอรีบนำรูปมาอวดทุกคนพลางโม้ว่า เธอใช้กล้องติดแฟลชถ่ายรูปตอนซังมินนั่งอยู่ในรถ ทุกคนต่างลุกมามุงดูรูป (ยูนจินได้ยินดังนั้นจึงลงบันไดมาลุ้นด้วยเช่นกัน) ปรากฏว่ารูปส่วนใหญ่ใช้ไม่ได้เพราะตอนแรกเธอไม่ได้เปิดแฟลช ครั้นพอถึงใบสุดท้าย นาจองมั่นใจว่าภาพนี้ต้องชัดแน่ พอเห็นว่าคนที่อยู่ในภาพเป็นใครนาจองก็ถึงกับอึ้ง แม่นาจองเห็นแล้วรู้สึกคุ้นๆ เลยขอดูใกล้ๆ จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ นาจองผิดหวังอย่างแรงจึงโยนรูปลงบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องไป ขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันทำหน้าเซ็ง ยูนจินเดินมาดูรูปใกล้ๆ พอเห็นว่าคนในภาพเป็นใครเธอก็สาปแช่งและด่าไฟแล่บว่าคนอย่างนี้มาป้วนเปี้ยนแถวบ้านนักร้องคนโปรดของเธอได้อย่างไร ทำเอาทุกคนถึงกับนั่งอึ้ง (ปกติยูนจินเป็นคนไม่ค่อยพูด)



ปรากฏว่าคนที่อยู่ในภาพคือ อดีตประธานาธิบดีชอน ดูฮวาน (หรืออดีตผู้นำรัฐบาลเผด็จการ ที่ขึ้นสู่อำนาจหลังทำรัฐประหาร เขาเคยถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2539 เนื่องจากการจัดการกับผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูรุนแรงเกินเหตุจนกลายเป็นการสังหารหมู่ แต่สุดท้ายก็ได้รับการอภัยโทษในเวลาต่อมา แม้ปัจจุบันนี้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ (อายุ 83 ปี) แต่ก็ถูกคนทั้งประเทศเกลียดชัง)

นาจองกล่าวสรุปกับคนดูว่า "เรื่องไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นได้เสมอ นั่นคือคำจำกัดความของกรุงโซล และตอนนั้นพวกเราก็อายุ 20 ปี" 

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ



โก อาร่า 
รับบท ซอง นาจอง

นักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นแฟนพันธ์แท้ของนักบาสฯ "ลี ซังมิน" (บ้านเกิด: เมืองมาซาน จังหวัดคยองซางนัม-โด หรือคยองซางใต้) 




จองวู
รับบท ซือเรกี (แปลว่า ขยะ) 

เพื่อนสนิทของพี่ชายนาจองผู้ล่วงลับ เขาอยู่กับครอบครัวนาจองเสมือนเป็นลูกชายอีกคนของครอบครัว  เมื่อปี 1994 เขามีอายุ 24 ปี  เป็นนักศึกษาแพทย์ และเป็นคู่กัดนาจอง ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนเดียวที่คอยดูแลเธอ (บ้านเกิด: เมืองมาซาน  จังหวัดคยองซางนัม-โด) 




ยู ยอนซอก
รับบท ชิล บงอี หรือ ชิลบง  (แปลว่า Shut out* 7 ครั้ง) 
สุดยอดพิทเชอร์ประจำทีมเบสบอลของมหาวิทยาลัยยอนเซ มาจากย่านกังนัมของกรุงโซล

* ในกีฬาเบสบอล คำว่า "Shut out" หมายถึง พิทเชอร์ (ผู้ขว้าง) หนึ่งพิทช์ตลอดเกมและคู่แข่งไม่สามาถทำรันจากเขาได้ ในกรณีที่มีพิทเชอร์หลายคนพิทช์แล้วทีมไม่เสียรัน จะไม่มีพิทเชอร์คนได้ค่า Shut out แต่อาจจะเรียกว่าทีม Shut out คู่แข่งได้ - (ที่มา: paospace)




คิม ซองกยูน
รับบท ซัมชอนโป 
นักศึกษาปี 1 วัย 20 ปีที่มีหน้าแก่เกินวัย ถูกตั้งฉายาตามชื่อเมืองซัมชอนโป ในจังหวัดคยองซางนัม-โด ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา



ซอน โฮจุน
รับบท เฮเท*
 (*เป็นชื่อเก่าของสโมสรเบสบอลอาชีพเกาหลี ปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็น "เกีย ไทเกอร์ส")
พ่อเฮเทเป็นซีอีโอบริษัทเดินรถประจำทาง "ซุนชอน ทรานสปอร์เทชั่น" (บ้านเกิด: เมืองซุนชอน จังหวัดชอลลานัม-โด หรือชอลลาใต้) 



บาโร  (วง B1A4)
รับบท พิงกือเร (แปลว่า ยิ้ม  )
พิงกือเร เป็นนักศึกษาแพทย์ ญาติของชิลบง และรุ่นน้องของซึเรกี  แม้จะมีรอยยิ้มให้คนรอบข้างเสมอ แต่ภายใต้ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของเขากลับซุกซ่อนความกังวลและความเจ็บปวดเอาไว้ (บ้านเกิด: เมืองคอยซาน จังหวัดชุงชองบุก-โด หรือ ชุงชองเหนือ)




มิน โดฮี (วง Tiny-G) 
รับบท โจ ยูนจิน
เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวง "ซอ แทจี แอนด์ บอยส์"  (บ้านเกิด: เมืองยอซู จังหวัดชอลลาบุก-โด หรือ ชอลลาเหนือ)



ซอง ดงกิล
รับบท ซอง ดงกิล
พ่อนาจอง และโค้ชประจำทีมเบสบอลชื่อดัง "โซล ซางดุงอี" (ปัจจุบัน ทีมดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็น แอลจี ทวินส์ เบสบอล คลับ)



ลี อิลฮวา
รับบท ลี อิลฮวา (แม่นาจอง)





* ดูคลิปทั้งหมดที่เกี่ยวกับละคร Reply 1994 คิดถึงเธอ (จากช่อง ทีวีเอ็น) ได้ ที่นี่
* ดูคลิปเพลงประกอบละครได้ ที่นี่


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา