วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องย่อ กระซิบรักจิตสัมผัส (I Can Hear Your Voice)




กำกับ:   โจ ซูวอน
เขียนบท:  ปาร์ก เฮรยอน
แนวละคร:  โรแมนติก, แฟนตาซี, คอมเมดี้, ระทึกขวัญ, ลึกลับ, อาชญากรรม
จำนวนตอน:  18
ออกอากาศ:  เกาหลี - 5 มิถุนายน 2556 - 1 สิงหาคม 2556 ทางเอสบีเอส
                       ไทย - ทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 21.15 น. - 22.40 น. ทางช่อง 1 เวิร์คพอยท์ทีวี  ออกอากาศ 9 เมษายน 2557 - 16 พฤษภาคม 2557 (ช่อง 3 แฟมิลี่ (ช่อง 13) นำกลับมาฉายใหม่อีกครั้งในชื่อ "เสียงรัก สัมผัสใจ" เริ่มวันที่ 3 เมษายน 2560)

เรื่องย่อ



โดยทั่วไปแล้ว ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมหรือจำเลยที่ถูกฟ้องศาลในคดีอาญา จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดว่าบุคคลผู้นั้นได้กระทำความผิดจริง ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำตัดสินออกมาผู้ต้องหาหรือจำเลยก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่มีบางคนที่โชคร้ายต้องกลายเป็นผู้ต้องหาและถูกตราหน้าว่ามีความผิดโดยไม่มีโอกาสใช้สิทธิต่อสู้คดี ทำให้ต้องนอนคุกฟรี และมีโอกาสที่จะได้รับเสรีภาพเพียงแค่ 1%

นับว่ายังโชคดีที่ฟ้ามีตา จึงส่ง "จาง เฮซอง" ทนายสาวมาดดี ฝีปากกล้า แต่ฝีมืองั้นๆ   มาแทคทีมกับ "ชา กวานอู" อดีตตำรวจที่ผันตัวเองมาเป็นทนาย แม้ภายนอกจะใสซื่อจนแลดูเหมือนทึ่มๆ แต่ความจริงแล้วเป็นทนายฝีมือดี มีหลักการ และ "ปาร์ก ซูฮา" นักเรียนมัธยมที่สามารถอ่านใจคนได้ เพื่อร่วมกันคืนสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมให้กับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ไม่ได้กระทำผิด ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสชนะคดีเพียงแค่ 1% ก็ตาม และนี่ก็คือที่มาของชื่อเรื่อง "I Can Hear Your Voice" (แม้ความยุติธรรมจะถูกอะไรบางอย่างบดบังหรือครอบงำ แต่พวกเขายังคงได้ยินเสียงร้องหาความเป็นธรรมของผู้บริสุทธิ์เสมอ)



ละคร "กระซิบรักจิตสัมผัส  (I Can Hear Your Voice)"  เปิดฉากขึ้นที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เหล่านักเรียนตัวแสบกำลังวางแผนแกล้งนักเรียนหญิง "มูน ดงฮี" ด้วยการทากาวลงบนด้ามจับไม้ถูพื้น พร้อมทั้งเทน้ำมันลงบนพื้นห้อง โดยมี "ซองบิน" และ "ชุงกี" เป็นตัวตั้งตัวตี เมื่อ "ปาร์ก ซูฮา"  เดินมาถึงหน้าประตูห้องเรียน เขาก็ได้ยินเสียงความคิดของเพื่อนๆ ที่ต่างพากันลุ้นว่าแผนของพวกตนจะสำเร็จดังหวังหรือไม่ เขาจึงอาสาถูพื้นและยอมลื่นล้มแทนดงฮี ชุงกีไม่พอใจมากที่ซูฮาทำลายแผนของพวกตน จึงคิดที่จะสั่งสอนซูฮาต่อหน้าเพื่อนๆ แต่กลับโดนซูฮาเล่นงานจนหมดรูป

เมื่อเจอชุงกีในห้องน้ำ ซูฮาก็ถามว่าอยากรู้ไหมทำไมตนจึงดักทางถูก (ตอนสู้กันในห้องเรียน) ซูฮาจ้องตาชุงกีแล้วบอกว่าแค่มองตาเขาก็รู้ว่าคนๆ นั้นกำลังคิดอะไร ชุงกีร้องเสียงหลงว่า "จริงดิ" ซูฮาเห็นเพื่อนทำตาโตจึงหัวเราะแล้วบอกว่าตนล้อเล่น ความจริงแล้วตนก็แค่ฟลุ้คไม่ได้เก่งกาจอะไร ชุงกีได้ทีเลยบอกว่าที่ตนออมมือให้ซูฮาเป็นเพราะสงสารที่ซูฮาเป็นเด็กกำพร้า ซูฮาได้ยินแล้วถึงกับหน้าถอดสี

เมื่อเห็นจี้ที่ห้อยติดอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ซูฮาก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า... คืนนั้นเด็กชายซูฮานั่งอยู่ในรถกับ "ปาร์ก ซูฮยอก" ซึ่งเป็นพ่อของเขา (จี้อันดังกล่าวถูกแขวนอยู่บนกระจกมองหลัง) สองพ่อลูกคุยกันเรื่องคูปองส่วนลดประจำเดือน ซูฮาบอกพ่อว่าเดือนนี้มีคูปองสำหรับทานพิซซ่าและสลัด ตลอดจนบัตรลดค่าเข้าชม "อควาเควสท์" 40%   พ่อซูฮาบ่นว่าอควาเรี่ยมก็งั้นๆ ตนเคยไปหลายครั้งแล้ว  ซูฮาบอกพ่อว่านี่คืออควาเรี่ยมที่ใหญ่สุดในเกาหลี เขาขอให้พ่อพาไปเที่ยวที่นั่นอาทิตย์หน้า เพราะตนยังไม่เคยไป  ซึ่งพ่อของเขาก็รับปากแต่โดยดี



อยู่ๆ ก็มีรถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งเข้าชนรถพ่อซูฮาอย่างจัง (ชนด้านข้างฝั่งคนขับ) ทั้งซูฮาและพ่อต่างก็ได้รับบาดเจ็บจนเลือดโชกด้วยกันทั้งคู่ ทันทีที่รู้สึกตัวซูฮยอกก็ร้องเรียกซูฮาแล้วถามว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ซูฮาบอกพ่อว่าตนรู้สึกปวดหัว ซูฮยอกจึงบอกลูกว่าห้ามหลับโดยเด็ดขาด  "มิน จุนกุ๊ก" ลงจากรถบรรทุกเพื่อมาดูอาการของสองพ่อลูก เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะกระจกซูฮยอกก็ลืมตาขึ้นและขอร้องให้จุนกุ๊กช่วยเหลือลูกชายตน จุนกุ๊กถึงกับผงะด้วยความตกใจหลังพบว่าซูฮยอกยังไม่ตาย

อยู่ๆ ซูฮาก็ล่วงรู้ความคิดของจุนกุ๊ก พอรู้ว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแต่จุนกุ๊กเจตนาฆ่าพ่อตน  เขาจึงพยายามเตือนพ่อให้รีบหนีแต่ก็ไม่ทันการ (ทั้งคู่ติดอยู่ในรถและไม่สามารถเปิดประตูเองได้) จุนกุ๊กกระโดดขึ้นบนกระโปรงหน้ารถแล้วใช้ท่อเหล็กฟาดกระจก ก่อนกระหน่ำตีซูฮยอกจนเสียชีวิต ซูฮาเห็นพ่อโดนทำร้ายต่อหน้าต่อตาจึงร้องเรียกพ่อเสียงดังลั่น หลังฆ่าซูฮยอกแล้วจุนกุ๊กก็ลงมาเปิดประตูรถด้านข้างคนขับ เขายืนจ้องหน้าซูฮาสักพักแล้วเงื้อมือ (ที่ถือท่อเหล็ก) ขึ้นสุดแขน


ตัดกลับมาที่ช่วงเวลาปัจจุบัน... ซูฮาเล่าว่านับตั้งแต่วันนั้นโลกของเขาก็มีเสียงอยู่สองชนิด  หนึ่งคือเสียงที่ใครๆ ต่างก็ได้ยิน และสองก็คือเสียงที่เขาได้ยินเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้โลกของเขาจึงหนวกหูกว่าโลกของคนอื่นๆ สักเล็กน้อย เขาจึงมักสวมเฮดโฟนเพื่อให้หนวกหูน้อยลง

ซองบินนำน้ำยาล้างคราบกาวมาให้ซูฮาทำความสะอาดมือ พลางถามว่าทำไมถึงทำให้พวกตนเสียแผน ซูฮาแกล้งตีหน้าซื่อแล้วบอกว่าตนไม่รู้เรื่องแผนอะไรนั่น ซองบินรู้ว่าซูฮาโกหกจึงถามซูฮาตามตรงว่าชอบดงฮีหรือ ซูฮาปฏิเสธทันควัน ซองบินจึงกล่าวว่า "ก็วันวาเลนไทน์ นายบอกชั้นว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่นายไม่ยอมรับช็อคโกแลตของชั้น" ซูฮายอมรับ "ชั้นชอบใครบางคนอยู่จริงๆ แต่ไม่ใช่ดงฮีซักหน่อย" ซองบินแอบลุ้นว่าซูฮาชอบตนหรือเปล่า ซูฮาได้ยินความคิดของซองบินเลยพูดดักคอว่า "นี่เธอคงไม่คิดว่าเป็นตัวเองใช่ไหม" ซองบินโวยลั่นว่าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้นซักหน่อย และนึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นรักแรกของซูฮา ซูฮาจึงกล่าวว่า "เค้าเป็นรักแรกของชั้นน่ะ" 



ซองบินถามต่อว่าใครคือรักแรกของซูฮา และแอบสงสัยว่าเธอคนนั้นสวยมั๊ย นิสัยดีรึเปล่า ซูฮากล่าวว่า "เธอน่ะทั้งสวย ทั้งฮอตสุดๆ เลยล่ะ"  ซองบินบอกซูฮาว่าอย่ามองผู้หญิงที่เปลือกนอก เพราะความสวยย่อมมีวันโรยลา (ภาพตัดไปที่  "จาง เฮซอง" ซึ่งกำลังเดินไปทำงานโดยสวมชุดสุภาพและติดเข็มกลัดรูปตาชั่ง) ซูฮาแย้งซองบินว่า "เธอไม่ใช่แค่สวยนะ" (อยู่ๆ ก็มีลูกบาสกลิ้งตรงมาที่เฮซอง ซ้ำยังมาหยุดอยู่ตรงหลุมเล็กๆ ที่มีน้ำขัง ทำให้น้ำที่ขังอยู่บนถนนกระเด็นใส่ขาเธอ เท่านั้นยังไม่พอ เด็กนักเรียนที่เล่นบาสยังขอให้เธอส่งลูกบาสคืนให้โดยเรียกเธอว่า 'ป้า'  เฮซองซึ่งกำลังหงุดหงิดที่โดนน้ำสกปรกกระเด็นใส่ขาจนเลอะเทอะได้ยินคำว่า 'ป้า' ก็รู้สึกเจ็บจี๊ด เธอจึงแกล้งโยนลูกบาสลงเนินทางด้านหลังแทนที่จะส่งคืนเด็กนักเรียน) "เธอน่ะทั้งจิตใจดีแล้วก็ฉลาด เธอเป็นผุ้หญิงที่ดีที่สุดในโลกเลยล่ะ" ซูฮากล่าว

เฮซองเป็นทนายความที่ทำงานเหมือนคนไร้วิญญาณ ทุกครั้งที่ว่าความในห้องพิจารณาคดีเธอจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอย่างซังกะตาย และซักถามจำเลยโดยไม่ยอมละสายตาจากโพยที่วางอยู่ตรงหน้า เธอจะพูดและซักถามลูกความด้วยประโยค (และสไตล์) เดิมๆ เหมือนกันทุกคดี คณะผู้พิพากษาเห็นดังนั้นก็ต่างพากันส่ายหัว บางคนถึงขนาดจำคำพูดของเธอได้และทำปากขมุบขมิบแบบลิบซิงค์ตามไปด้วย


โอ ชุนชิม" (แม่ของเฮซอง) โทรฯ มาถามลูกสาวว่าเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานตำแหน่งทนายความสาธารณะ * (public defender) หรือทนายความของรัฐ แล้วหรือยัง เฮซองตอบแบบไม่ซีเรียสว่า ตำแหน่งนี้ใครสมัครก็ได้รับเลือกทั้งนั้นเลยไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวไปทำไม แม่เฮซองฟังแล้วอ่อนใจที่ลูกสาวไม่ค่อยกระตือรือร้นจึงถามหาความรับผิดชอบ เพราะเธอต้องคอยช่วยเหลือเฮซองด้านการเงินทุกเดือนทั้งๆ ที่เฮซองอายุปูนนี้แล้ว เฮซองแก้ตัวว่าตอนนี้อาชีพทนายความกำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะมีทนายมากกว่าคดี เธอจึงมีรายได้น้อยและไม่แน่นอน แม่เฮซองอยากให้ลูกสาวมีรายได้ที่แน่นอน มั่นคง และพึ่งพาตัวเองได้ จึงลุ้นให้เธอได้เป็นทนายความของรัฐ (กินเงินเดือนประจำจากรัฐบาล) พร้อมทั้งขู่ว่าหากเธอไม่ได้งานนี้จะต้องนำเงิน 50 ล้านวอน (ราว 1.57 ล้านบาท) มาคืนตนภายในหนึ่งเดือน (ถึงแม้ได้งานก็จะถูกยึดเงินเดือนอยู่ดี)


* ในบางประเทศรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือด้านทนายความแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยในคดีอาญาที่ไม่มีเงินหรือไม่สามารถหาทนายความได้ เพื่อให้จำเลยมีสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียม โดยทนายดังกล่าวอาจเรียกว่า ทนายความของรัฐ ทนายความช่วยเหลือ หรือทนายความสาธารณะ เป็นต้น



เมื่อถึงวันสัมภาษณ์งาน "ชา กวานอู" ก็มาที่ศาลอย่างกระตือรือร้นและเตรียมตัวและใจมาพร้อมสุดๆ พอมาถึงห้องรอสัมภาษณ์ เขาก็พบเฮซองนั่งเล่นเกมบนมือถือรอแบบชิลล์ๆ เพียงคนเดียว จึงรู้สึกแปลกใจที่มีคนมารอน้อยมาก ทนายชาต้องการผูกมิตรกับเฮซองจึงยื่นชีทตัวอย่างคำถาม (ที่เต็มไปด้วยร่องรอยปากกาและการทำไฮไลต์ข้อความสำคัญ) ให้เฮซอง แต่เฮซองไม่สนใจ   ทนายชากล่าวว่าตนรู้สึกประหม่าเพราะนี่คืองานในฝันของตน และถามเฮซองว่านี่คืองานในฝันของเธอด้วยใช่ไหม เฮซองปฏิเสธด้วยท่าทีรำคาญ ถึงกระนั้น ทนายชาก็ยังพูดต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยเป็นตำรวจ แต่ลาออกเพื่อมาเป็นทนายความ เป้าหมายสูงสุดของตนก็คือการเป็นทนายความของรัฐ เมื่อเห็นว่าเฮซองไม่ยอมละสายตาจากเกม ทนายชาจึงถามเฮซองว่า "ไม่อยากรู้เหรอครับว่าทำไม" เฮซองตอบทันควันว่าไม่อยากรู้สักนิด

ปรากฏว่าทั้งคู่มานั่งรอผิดตึก ทันทีที่รู้ตัวเฮซองก็รีบวิ่งนำหน้าไปยังตึกอีกฝั่งทันที พอไปถึงก็พบว่ามีคนมานั่งรอสัมภาษณ์นับร้อย ทุกคนต่างเตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่ ยิ่งรู้ว่าศาลเปิดสอบสัมภาษณ์ทั้งสิ้น 3 วัน (ซึ่งหมายความว่ามีคู่แข่งมากกว่าที่เห็นในวันนี้ 3 เท่า)  เฮซองก็เริ่มหวั่นๆ จึงขอดูตัวอย่างคำถามของ ทนายชา


ระหว่างที่อยู่ในห้องสัมภาษณ์  ทนายชาพยายามควบคุมอาการตื่นเต้นของตน  ผู้พิพากษา "คิม กงซุก" เห็นผลการเรียนอันยอดเยี่ยมของกวานอูแล้วรู้สึกประหลาดใจที่เขามาสมัครเป็นทนายความของรัฐ แทนที่จะทำงานในบริษัทกฏหมายชั้นนำ กวานอูตอบเสียงดังฟังชัดว่าตนไม่ได้อยากเป็นทนายเพียงเพราะต้องการเงิน แต่ต้องการเป็นทัพหน้าในการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน

เฮซองแอบฟังการสัมภาษณ์ทางด้านนอกเพื่อเช็คว่ามีใครให้เหตุผลในการมาสมัครงานแบบเดียวกับที่เธอลิสต์คำตอบเตรียมไว้บ้าง หากมีใครให้เหตุผลตรงกับที่เธอเตรียมไว้เธอก็จะขีดฆ่าออก แม้จะเตรียมมาหลากหลายเหตุผล แต่กว่าจะถึงคิวเธอสิ่งที่เตรียมไว้ทั้งหมดก็ถูกคนอื่นหยิบยกขึ้นมาพูดหมดแล้ว เธอไม่อยากตอบซ้ำกับใครจึงงัดกลยุทธ์แสดงความจริงใจมาใช้ โดยแจกโพสต์อิทให้คณะกรรมการแล้วสารภาพว่าคลีนิคทำฟันนำมาแจกหน้าศาลคนละเล่ม แต่เธออยากประหยัดเงินค่าโพสต์อิทเลยขอมาเยอะๆ แบบหน้าไม่อาย


ผู้พิพากษาคิมถามดักว่าเธออยากเรียกคะแนนสงสารหรือ เฮซองบอกว่าเธอแค่ต้องการแสดงความจริงใจถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าอายก็ตาม จากนั้นก็สารภาพว่า เธอมาที่นี่เพราะเงิน เธอไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานในบริษัทกฏหมาย เธอไม่มีเงินจ้างโบรกเกอร์ เธอเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนมัธยม เลยต้องเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเกรดบี  เธอไม่มีเส้นสายหรือพรรคพวกในสายงานนี้ และเธอก็ไม่เคยหาเงินได้ถึง 1 ล้านวอน (ราว 3.1 หมื่นบาท) ต่อเดือน เธอรู้มาว่าหากได้เป็นทนายความของรัฐอาจได้เงินเดือนเหยียบแสนเลยมาสมัครงานที่นี่ ผู้พิพากษาคิมแย้งว่าเธอเลือกใช้วิธีผิด แนวดราม่าแบบนี้ใช้ได้ผลแค่ในละครเท่านั้น เขามองใบสมัครของเธอแล้วตัดบทว่าจะแจ้งผลให้ทราบภายหลังทางอีเมล์

ขณะที่เฮซองกำลังจะเดินออกจากห้อง ผู้พิพากษาคิมเกิดสงสัยว่าทำไมเฮซองถึงโดนไล่ออกจากโรงเรียนมัธยม เฮซองถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ว่าถ้าเธอบอกแล้วเขาจะให้เธอสอบสัมภาษณ์ผ่านไหม ผู้พิพากษาคิมตอบว่าถ้าเรื่องของเธอน่าสนใจเขาอาจจะให้ผ่าน เฮซองจึงนั่งลงแล้วเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง โดยบอกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน เธอมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวของนายจ้างแม่เธอ (แม่เธอทำงานเป็นแม่บ้าน) เพื่อนเธอคนนี้ (ซอ โดยอน) ทั้งสวย ทั้งฉลาด แล้วก็แสบสุดๆ  หลังโกงข้อสอบจนทำคะแนนเป็นอันดับ 1 (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มักสอบได้ที่ 10)  แม่ของโดยอนก็จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นที่บ้าน (เฮซองกับแม่มีหน้าที่ทำอาหาร)



เฮซองนำอาหารไปเสิร์ฟให้เพื่อนๆ ที่กำลังจุดพลุกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นเฮซองเพื่อนคนหนึ่งก็ชวนให้มาเล่นพลุด้วยกัน เฮซองยังไม่ทันจุดพลุ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเมื่อเพื่อนคนดังกล่าวยิงพลุใส่ตาโดยอนโดยไม่ตั้งใจ หลังเกิดเหตุเพื่อนคนดังกล่าวก็รีบโยนพลุในมือทิ้ง คงมีเพียงเฮซองที่ยืนตะลึงโดยถือพลุอยู่ในมือ ทั้งแม่โดยอนและแม่ของเฮซองต่างวิ่งออกมาดูหลังได้ยินเสียงโดยอนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พอหายตกใจแล้วเฮซองก็รีบโยนพลุทิ้ง

เฮซองสารภาพกับผู้พิพากษาคิมว่า ในตอนนั้นเธอรู้สึกกลัวมากและอดเป็นห่วงโดยอนไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจก็แอบสมน้ำหน้าเพราะเธอเกลียดโดยอน

หมอบอกให้พ่อและแม่ของโดยอนทำใจเพราะตาข้างซ้ายของเธออาจจะบอด เนื่องจากกระจกตาได้รับความเสียหายมาก เฮซองเห็นแม่ทำซุปและอาหารเพื่อนำไปให้โดยอนที่โรงพยาบาลเลยรู้สึกไม่พอใจ  แม่ของเธอจึงบอกว่าโดยอนไม่ใช่คนอื่นคนไกล เธอกับแม่อาศัยอยู่ที่บ้านโดยอนมานานนับ 10 ปีจนเป็นหมือนครอบครัวเดียวกัน  เมื่อถูกแม่บังคับให้ไปเยี่ยมโดยอนที่โรงพยาบาลด้วยกัน เฮซองก็ปฏิเสธโดยบอกว่าเธอเกลียดโดยอน แต่สุดท้ายก็ต้องตามแม่ไปอยู่ดี



เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เพื่อนที่จุดพลุใส่ตาโดยอนก็โยนความผิดให้เฮซอง เฮซองแย้งว่าเธอยังไม่ได้จุดพลุด้วยซ้ำ แต่แม่โดยอนไม่เชื่อ ผู้พิพากษา "ซอ แทซอก" (พ่อของโดยอน) จึงถามเด็กคนดังกล่าวอย่างคาดคั้นว่าเธอเห็นกับตาว่าเฮซองเป็นคนทำจริงๆ หรือยังไม่ค่อยแน่ใจ เด็กคนดังกล่าวได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง แต่แล้วอยู่ๆ โดยอนก็ยืนยันว่าเฮซองเป็นคนทำ ทุกคนรุมใส่ร้ายและกล่าวหาว่าเป็นความผิดของเฮซอง ชุนชิมถามลูกว่าที่ทุกคนพูดเป็นความจริงหรือ เฮซองตอบแม่ด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าเธอถูกใส่ร้าย

สองแม่ลูกขอตัวออกมาคุยกันตามลำพังทางด้านนอก เฮซองยืนกรานกับแม่ว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำและขอให้แม่เชื่อเธอ ถึงแม้เธอจะไม่ชอบโดยอนแต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะเรื่องแย่ๆ แบบนั้น หลังทราบความจริงแล้ว ชุนชิมก็บอกผู้พิพากษาซอและภรรยาว่าเฮซองไม่ได้เป็นคนทำ แม่โดยอนตำหนิชุนชิมที่แก้ตัวแทนลูก ชุนชิมแย้งว่าเธอไม่ได้แก้ตัวหรือพยายามปกป้องลูก แต่เฮซองเป็นคนร้องไห้ยาก ขนาดพ่อของเธอตายเธอก็ยังไม่ร้องไห้ แม้ตอนขาหักก็ไม่มีน้ำตาสักหยด เฮซองจะร้องไห้ก็ต่อเมื่อเธอรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม พอเห็นเฮซองร้องไห้ขี้มูกโป่ง ชุนชิมจึงเชื่อว่าเฮซองถูกใส่ร้าย

แม่โดยอนแย้งว่าลูกของตนและเพื่อนๆ เห็นกับตาว่าเฮซองเป็นคนทำ  ชุนชิมบอกว่าเด็กๆ อาจเข้าใจผิดและขอให้เชื่อตนกับลูก ผู้พิพากษาซอบอกให้เฮซองยอมรับผิดและขอโทษโดยอนแล้วตนจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าเฮซองไม่ยอมรับผิด ตนจะไม่ให้เฮซองเรียนที่เดียวกับโดยอนอีกต่อไป ส่วนแม่ของเฮซองก็จะพลอยตกงานและต้องออกจากบ้านตนด้วย เฮซองไม่ยอมขอโทษเพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอจึงถูกบีบให้ออกจากโรงเรียน และยังต้องย้ายบ้านอีกด้วย



เลขาฯ ของผู้พิพากษาซอช่วยชุนชิมจัดการเรื่องการขนย้ายข้าวของและมอบเงินชดเชยให้ก้อนหนึ่ง  เฮซองบอกแม่ว่าอย่ารับ หากเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นคนผิด ชุนชิมลังเลครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมรับเงิน เฮซองเห็นดังนั้นก็ต่อว่าแม่และไม่ยอมขึ้นรถขนของ   ชุนชิมจึงบอกให้เฮซองเดินไปและสั่งให้คนขับออกรถทันที ผู้พิพากษาซอเห็นว่าค่ำแล้วแต่เฮซองยังยืนรอแม่บนถนนหน้าบ้านตนโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน จึงเดินออกมาบอกให้เธอตามแม่ไป  เฮซองถามผู้พิพากษาซอโดยไม่ยอมมองหน้าว่าเขาให้เงินชดเชยแม่เธอเท่าไหร่ และเขาให้เงินแม่เธอเพราะรู้สึกผิดใช่ไหม

ผู้พิพากษาซอกล่าวว่า "ชั้นก็แค่อยากทดสอบแม่ของเธอ ชั้นอยากรู้ว่าแม่เธอเชื่อคำพูดลูกสาวตัวเองจริงรึเปล่า ก็อย่างที่เธอพูดนั่นแหล่ะ ถ้าหากแม่เธอเชื่อมั่นในตัวเธอจริงๆ คงไม่รับเงินนั่น ขนาดแม่แท้ๆ ยังไม่เชื่อเธอเลย แล้วจะให้ชั้นเชื่อเธอได้ยังไงกัน"


ทันใดนั้น ผู้พิพากษาซอก็เหลือบไปเห็นชุนชิมกำลังจุดไฟเผาอะไรบางอย่างที่หน้าบ้านของตนจึงรีบเดินไปดู ปรากฏว่าชุนชิมนำเงินค่าชดเชยส่วนหนึ่งไปเหมาซื้อหนังสือ "ซับน้ำตาด้วยกฏหมาย" ที่ผู้พิพากษาซอ (ซึ่งสร้างภาพว่าตนเองเป็นผู้พิพากษาที่แสนอบอุ่น จิตใจดี มีเมตตา) เป็นคนเขียน จากนั้นก็นำมากองไว้ที่หน้าบ้านผู้พิพากษาซอแล้วจุดไฟเผาพร้อมเงินที่เหลือในซอง ชุนชิมกล่าวกับผู้พิพากษาซอว่าลูกสาวตนไม่ได้ทำอะไรผิดแต่กลับถูกบีบให้ลาออกจากโรงเรียน จากนั้นก็ตวาดใส่ผู้พิพากษาซอเสียงดังลั่นว่า "ลูกสาวชั้นเป็นฝ่ายถูก คุณนั่นแหล่ะผิด"  เฮซองได้ยินดังนั้นก็ยิ้มทั้งน้ำตา

ระหว่างพาเฮซองเดินกลับบ้าน (หลังใหม่) ชุนชิมก็ถึงกับเข่าอ่อน ก่อนหน้านี้เธอพยายามรวบรวมความกล้าต่อหน้าผู้พิพากษาซอเพื่อยืนกรานว่าเฮซองเป็นผู้บริสุทธิ์ เธอถามลูกสาวว่าตนเล่นละครเก่งมั๊ย ก่อนเช็คว่าลืมพูดประโยคใดบ้างหรือเปล่า พอดูโพยบนฝ่ามือมือแล้วเธอก็รู้สึกเสียดายที่ลืมบอกผู้พิพากษาซอว่า เขาไม่ได้นำกฏหมายมาช่วยเหลือหรือซับน้ำตาผู้คนเหมือนอย่างชื่อหนังสือ แต่กลับนำมันมาเป็นเครื่องมือในการทำให้คนอื่นร้องไห้ พอรู้ว่าแม่เชื่อและทำทุกอย่างเพื่อเธอ เฮซองก็กอดแม่ด้วยความดีใจ


วันหนึ่ง เฮซองถือพลุมาดักรอโดยอนบริเวณสวนสาธารณะ  เมื่อเห็นโดยอนเฮซองก็เดินเข้าไปหาและจุดพลุทันที โดยอนเห็นดังนั้นจึงรีบทรุดตัวหลบตามสัญชาติญาณ เฮซองถามโดยอนว่า "เธอเห็นกับตาว่าชั้นเป็นคนจุดพลุจริงๆ เหรอ เธอไม่เห็นสักหน่อย จริงมั๊ย?" โดยอนยังคงปากแข็งว่าเธอเห็นกับตา เฮซองจึงถามว่า "ถ้าเธอเห็นจริงๆ แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่ทำอะไรสักอย่าง ถ้าเธอเห็นว่าชั้นเป็นคนจุดพลุ เธอก็ควรจะหลบเหมือนอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้สิ" โดยอนยอมรับว่าตนไม่ได้เห็นกับตาแต่ยังคงโทษว่าเฮซองเป็นคนผิด เฮซองบอกให้โดยอนไปสารภาพความจริงกับผู้พิพากษาซอและแม่ของตนแต่โดยอนปฏิเสธ ทันใดนั้นก็มีเสียงรถชนกันดังสนั่นหวั่นไหว

เฮซองและโดยอนรีบวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรถบรรทุก ทั้งคู่แทบช็อคเมื่อเห็นภาพชายคนหนึ่ง (จุนกุ๊ก) ใช้ท่อนเหล็กกระหน่ำตีผู้ได้รับบาดเจ็บ (พ่อซูฮา) ที่ติดอยู่ในรถยนต์จนแน่นิ่ง เมื่อเห็นว่าชายคนดังกล่าวกำลังจะฆ่าเด็กชาย (ซูฮา) ที่นั่งร้องไห้จ้าอยู่ภายในรถ เฮซองก็ใช้มือถือถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แต่ระบบถ่ายภาพในมือถือของเธอดันส่งเสียง "สไมล์!" และมีเสียงกดชัตเตอร์ตามมา จุนกุ๊ก (ซึ่งกำลังจะใช้เหล็กฟาดซูฮา) ถึงกับผงะเมื่อพบว่ามีเด็กผู้หญิง 2 คนรู้เห็นเหตุการณ์


เมื่อเห็นคนร้ายหันมามอง โดยอนก็รีบวิ่งหนี ส่วนเฮซองยังคงตกตะลึงและก้าวขาไม่ออก เธอเพิ่งช่วยชีวิตเด็กน้อยเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ และในตอนนี้ชีวิตของเธอก็กำลังตกอยู่ในอันตราย จุนกุ๊กถือเหล็กเดินตรงไปที่เฮซอง โดยอนร้องเตือนเฮซองให้รีบหนี เฮซองจ้องหน้าซูฮาสักพักแล้ววิ่งตามโดยอนเข้าไปในสวนสาธารณะ ก่อนพากันหลบอยู่หลังพุ่มไม้ จุนกุ๊กวิ่งตามเฮซองและโดยอนมาติดๆ แต่ก็หาตัวทั้งคู่ไม่เจอ อยู่ๆ โดยอนก็สะอึกขึ้นมา จุนกุ๊กเลยถือเหล็กเดินตรงไปหาในท่าเตรียมพร้อม ทันใดนั้น ก็มีเสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้น   จุนกุ๊กโกรธมากที่เฮซองและโดยอนทำให้ตนเสียแผน เขาจึงเตือนทั้งคู่ว่าชายในรถตายเพราะปาก หากเฮซองและโดยอนไม่อยากตายแบบชายคนนั้นก็อย่าไปแจ้งตำรวจหรือไปเป็นพยานในคดีฆาตกรรม แต่ถ้าเตือนแล้วไม่ฟังทั้งคู่ก็จะมีจุดจบเหมือนชายในรถ ถ้าทั้งคู่บอกพ่อแม่หรือคนอื่นๆ  ทุกคนก็จะโดนตนฆ่าด้วยเช่นกัน ดังนั้น จงปิดปากเงียบและหลบซ่อนตัวไปตลอดชีวิต 

คืนนั้น สถานีโทรทัศน์รายงานข่าวว่า เกิดอุบัติเหตุรถยนต์และรถบรรทุกชนกันอย่างรุนแรงบริเวณสี่แยก คนขับรถยนต์ซึ่งเป็นชายวัย 45 ปีเสียชีวิตคาที่ ส่วนลูกชายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะและกำลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้น เฮซองซึ่งสวมหมวกอำพรางใบหน้ายืนฟังรายงานข่าวอุบัติเหตุบริเวณแผงขายของข้างทาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "นายมิน (จุนกุ๊ก)  คนขับรถบรรทุก ให้การว่านายปาร์ก (พ่อซูฮา) ขับรถฝ่าไฟแดง และตำรวจกำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่"  

เมื่อได้ยินชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันว่า... คดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแต่เป็นการฆาตกรรม ตำรวจจับคนขับรถบรรทุกฐานฆ่าคนตายแล้วแต่ยังขาดหลักฐานมัดตัว แม้ลูกชายคนตายจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่เด็กยังให้การอะไรไม่ได้ เลยไม่สามารถนำตัวมาเป็นพยาน และถ้าไม่มีพยานไปปรากฏตัวต่อหน้าศาลคดีนี้ก็จะกลายเป็นอุบัติเหตุธรรมดา... เฮซองฟังแล้วนึกถึงแววตาของเด็กน้อยที่จ้องมองมาที่เธอ จากนั้นก็นึกถึงคำขู่ของจุนกุ๊ก


เฮซองเดินมาเจอโดยอนซึ่งกำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ หลังต้นไม้โดยบังเอิญ แม้เพิ่งถูกขู่ฆ่ากันมาหมาดๆ และต่างก็พากันหวาดกลัว แต่พอเจอหน้ากันทั้งคู่ก็ไม่ยอมลดราวาศอก โดยอนท้าเฮซองให้ไปเป็นพยานที่ศาลถ้าเธอไม่กลัวและไม่ใช่คนขี้โกหก เฮซองรับคำท้าแต่มีข้อแม้ว่าโดยอนต้องไปศาลกับเธอด้วย โดยอนไม่อยากเสียหน้าเลยจำต้องรับปาก

ในที่สุดเฮซองก็เดินทางไปที่ศาล เธอรวบรวมความกล้าโดยนึกถึงคำพูดของแม่ที่บอกว่า "ที่แม่ปกป้องแกไม่ใช่เพราะแกเป็นลูกสาวแม่ แต่เป็นเพราะแกพูดความจริง แกมักจะทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เพราะแกนิสัยเหมือนพ่อ"


ระหว่างที่อยู่ในห้องพิจารณาคดี เด็กชายซูฮาซึ่งอยู่ในชุดคนไข้นั่งจ้องหน้าจุนกุ๊กด้วยสายตาโกรธแค้นตลอดเวลา และผู้พิพากษาที่มาทำหน้าที่ในวันนี้ก็คือพ่อของโดยอนนั่นเอง เฮซองและโดยอนบังเอิญมาเจอกันที่หน้าลิฟต์ ทั้งคู่จิกกัดกันเล็กน้อยทั้งๆ ที่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัว  เมื่อไปถึงหน้าห้องพิจารณาคดี ทั้งเฮซองและโดยอนต่างก็นึกถึงคำขู่ของจุนกุ๊กจึงไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป (เข้ากันคนละประตู) สองสาวตกลงกันว่าจะนับหนึ่งถึงสามแล้วเปิดประตูเข้าไปพร้อมกัน แต่สุดท้ายกลับมีคนเดียวที่เปิดประตูเข้าไป

ตัดกลับมาที่เวลาปัจจุบัน ผู้พิพากษาคิมถามเฮซองว่าใครเป็นคนเปิดประตู แต่เฮซองไม่ยอมเล่าต่อ ผู้พิพากษาคิมโวยลั่นด้วยความผิดหวังและอยากรู้ (คณะกรรมการคนอื่นๆ ก็ทำท่าอยากรู้เช่นกัน) เฮซองตอบว่าเธอต้องการแสดงความจริงใจที่นี่ แต่ลำพังความจริงใจคงไม่ช่วยให้เธอได้งาน เฮซองบอกเพียงว่า ทุกวันนี้เธอยังคงรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนั้น และไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก ด้วยเหตุนี้ เธอจึงมาที่นี่ในวันนี้


หลังเลิกเรียน ซูฮาเห็นเฮซองกำลังเดินข้ามถนนจึงรีบวิ่งตามไปโดยไม่สนใจว่าเป็นไฟเขียว  ทำให้รถยนต์เบรคกันจ้าละหวั่น แม้จะวิ่งตามไปติดๆ แต่เขาก็ตามเธอไปไม่ทันเนื่องจากมีผู้คนพลุกพล่าน ขณะที่อยู่ในศูนย์ฝึกเทควันโด (เขาสวมชุดเทควันโดสายดำ) ซูฮานั่งจดบันทึกแล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนตอนที่เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุ อยู่ๆ เขาก็มีปัญหาด้านการพูด หมอจึงบอกตำรวจว่าซูฮาไม่สามารถให้ปากคำในฐานะพยานได้

เมื่อรู้ว่าตำรวจสืบสวนจะปิดคดีด้วยการระบุว่าพ่อตนหลับใน (เพื่อให้สามารถนำไปเคลมประกัน) ซูฮาก็รีบเขียนข้อความบอกตำรวจว่า พ่อของตนถูกคนขับรถบรรทุกฟาดด้วยท่อเหล็ก ตำรวจนายหนึ่งคิดจะชันสูตรศพพ่อซูฮาแต่ก็สายเกินไปเพราะศพเพิ่งถูกเผาเมื่อวานนี้ ตำรวจอีกคนแย้งว่าสิ่งที่ซูฮาบอกไม่ค่อยน่าเชื่อุถือเพราะซูฮายังเด็กและได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ถึงแม้เป็นเรื่องจริงคำให้การของซูฮายังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเอาผิดคนร้ายได้อยู่ดี หากมีพยานคนอื่นอีกคงดีกว่านี้


ระหว่างให้การในชั้นศาล จุนกุ๊กตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ เขายอมรับว่าตนใช้ท่อเหล็กทุบกระจกหน้ารถจริง แต่ทำไปเพราะต้องการช่วยเหลือซูฮยอก หลังทุบกระจกแล้วถึงรู้ว่าซูฮยอกตายแล้ว เขาบอกว่าซูฮาเห็นตนทุบกระจกเลยเข้าใจผิด ซูฮาได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกโกรธ ทนายของจุนกุ๊กกล่าวว่า ซูฮาอายุแค่ 8 ขวบ จึงเด็กเกินกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ และเขาก็ยังอยู่ในอาการช็อคถึงขนาดพูดไม่ได้ คำให้การของซูฮาจึงไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักมากพอ ทุกคนในห้องรวมทั้งผู้พิพากษาฟังแล้วต่างก็เห็นด้วย

จุนกุ๊กหันไปมองซูฮาแล้วเยาะเย้ยในใจว่าทุกคนในห้องนี้ต่างพากันเชื่อตน ผู้พิพากษาซอถามทนายฝ่ายโจทก์ว่า ตอนที่ซูฮาเขียนคำให้การหมออยู่ด้วยหรือไม่ ทนายตอบว่าไม่อยู่ แต่หมอบอกว่าสมองของซูฮาปกติดี ซูฮาเขียนข้อความในกระดาษแล้วยกให้ทุกคนดู แต่เนื่องจากตัวหนังสือเล็กมากผู้พิพากษาซอเลยขอให้พยาบาลที่นั่งข้างๆ อ่านให้ฟัง สิ่งที่ซูฮาเขียนก็คือ 'ดูเหมือนว่าไอ้คนหน้าโง่ทั้งหมดในห้องนี้จะอยู่ข้างชั้น.... นั่นคือสิ่งที่คนร้ายคิด' จุนกุ๊กได้ยินแล้วถึงกับหน้าถอดสี เมื่อเห็นทุกคนทำหน้างง ซูฮาก็เขียนบอกอีกว่าตนอ่านใจคนได้ ทำให้ตัวเขาซึ่งเป็นพยานเพียงคนเดียวหมดความน่าเชื่อถือไปในบัดดล


ผู้พิพากษาซอถามนายฝ่ายโจทก์ว่ามีพยานคนอื่นอีกไหม จุนกุ๊กเริ่มยิ้มออก เขาแอบขอบคุณซูฮาในใจที่ทำให้ตนรอดคุก ทั้งยังบอก (ในใจ) ด้วยว่าคงไม่มีใครกล้ามาเป็นพยานให้ เพราะตนขู่ว่าถ้าใครมาจะฆ่าทิ้ง ซูฮาได้แต่ร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ ทันใดนั้น เฮซองก็โผล่พรวดเข้ามา ปรากฏว่าเธอถูกโดยอนหักหลังจึงต้องให้การในฐานะพยานตามลำพัง  เฮซองชี้ไปที่จุนกุ๊กแล้วบอกว่าเขาใช้ท่อเหล็กฟาดศีรษะพ่อของซูฮาและขู่ให้ตนปิดปาก ผู้พิพากษาซอถามซูฮาว่าเฮซองเห็นเหตุการณ์ใช่ไหม ซูฮารีบพยักหน้า แต่จุนกุ๊กบอกว่าตนไม่เคยพบเฮซองมาก่อน


ทนายของจุนกุ๊กแย้งว่าเฮซองไม่เคยปรากฏตัวหรือให้ปากคำในขั้นตอนสอบสวนมาก่อน จึงขาดคุณสมบัติของการเป็นพยาน (ไม่ได้ยื่นระบุบัญชีพยาน) และการที่ซูฮาบอกว่าเฮซองเห็นเหตุการณ์ก็ขาดความน่าเชื่อถือ เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งโกหกว่าอ่านใจคนได้ เฮซองเห็นจุนกุ๊กแอบยิ้มเพราะคิดว่างานนี้ตนรอดแน่ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วบอกว่าตนมีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน จุนกุ๊กนึกขึ้นได้ว่าตนถูกถ่ายรูปขณะกำลังจะใช้ท่อเหล็กฟาดซูฮาจึงเริ่มออกอาการกังวล ซูฮาเห็นเฮซองมือสั่นด้วยความกลัวจึงจับมือเฮซองเอาไว้

ขณะที่เฮซองถูกเจ้าหน้าที่ศาลนำตัวไปยังคอกพยาน จุนกุ๊กซึ่งโกรธจัดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตรงเข้าทำร้ายเฮซองด้วยการบีบคอ ผู้พิพากษาซอเห็นดังนั้นจึงสั่งให้นำตัวจุนกุ๊กไปคุมขัง ขณะถูกลากตัวออกจากห้องจุนกุ๊กร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้นว่า "ชั้นจะทำตามที่พูด ชั้นจะฆ่าเธอให้ได้" เขายังบอกด้วยว่านี่ไม่ใช่จุดจบแต่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ผู้พิพากษาซอถามเฮซองว่าอยากพักก่อนไหม แม้จะรู้สึกหวาดกลัวและเสียขวัญแต่เฮซองยืนยันว่าจะให้การในฐานะพยานต่อ เพราะถ้าหากไม่รีบทำตอนนี้เธออาจเปลี่ยนใจได้

ซูฮาในวัย 19 ปี จดบันทึกลงบนสมุดว่า "วันนี้ผมเจอคนที่หน้าเหมือนคุณอีกแล้ว ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนนะ" 


ย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้ง.... ซูฮาเห็นเฮซองนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ทางด้านนอกจึงเดินเข้าไปสะกิด แล้วใช้ก้อนหินเขียนคำว่า "ขอบคุณครับ" ลงบนพื้น เฮซองเอาเท้าลบข้อความดังกล่าวแล้วบอกทั้งน้ำตาว่า "ไม่ต้องมาขอบคุณเลย ชั้นคิดผิดจริงๆ ที่มาที่นี่" จากนั้นก็เดินหนีไป เมื่อเห็นซูฮาเดินตามตนเองต้อยๆ เฮซองก็ตวาดไล่และวิ่งหนีแต่ซูฮายังคงวิ่งตาม  ครั้นพอสะดุดล้มจนข้าวของในกระเป๋าหล่นกระจาย (หนึ่งในนั้นคือสมุดที่ซูฮานำมาจดบันทึกในปัจจุบัน) เฮซองก็นั่งร้องไห้โฮพลางกล่าวโทษซูฮาที่ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย ซูฮารู้ว่า (อ่านใจ) เฮซองกลัวถูกจุนกุ๊กตามฆ่าหลังพ้นโทษจึงโผเข้ากอดเฮซองแล้วพยายามเปล่งเสียงออกมาว่า "ผมจะปกป้องคุณเอง"  เฮซองได้ยินดังนั้นก็ยิ้มทั้งน้ำตา


ซูฮาเขียนลงในสมุดบันทึกของเฮซองว่า "ผมไม่เคยลืมคุณเลย หากได้พบกันอีกผมจะปกป้องคุณ ผมจะปกป้องคุณเอง" หลังจดบันทึกเสร็จ ซูฮาก็วางสมุดบันทึกไว้บนพื้นแล้วฝึกซ้อมเทควันโด้ด้วยความมุ่งมั่น 

เมื่อสมุดบันทึกถูกลมพัด หน้าหนังสือก็พลิกไปมา ปรากฏว่าในนั้นมีแต่ข้อความที่เขียนถึงเฮซอง หลายปีที่ผ่านมาซูฮานึกถึงและตามหาเฮซองมาโดยตลอด ทุกครั้งที่พบใครหน้าตาเหมือนเฮซอง เขาจะวิ่งไปหา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังทุกครั้ง


หลังซ้อมเตะกระสอบทรายจนเหงื่อท่วมตัว ซูฮาก็กอดกระสอบทรายแล้วนึกในใจว่า "ผมคิดถึงคุณจัง"

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน "กระซิบรักจิตสัมผัส  (I Can Hear Your Voice)"

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ




ลี โบยอง 
รับบท จาง เฮซอง



ลี จงซอก
รับบท ปาร์ก ซูฮา



ยูน ซังฮยอน
รับบท ชา กวานอู



ลี ดาฮี
รับบท ซอ โดยอน






* ดูคลิปเพลงประกอบและเบื้องหลังได้ ที่นี่


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17 พฤษภาคม 2557 เวลา 12:56

    ชอบมากกกกกกก

    แต่มันจบแล้ว :(

    ตอบลบ
  2. ชอบ I can hear your voiceใช่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแต่มันก็จบจริงๆๆๆแล้วแต่ก็ยังชอบอยู่ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    ตอบลบ

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา