วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 45




ทงอีออกมาอยู่นอกวัง 7 ปี จนกระทั่งพระโอรสกึมอายุ 6 ปี ในงานเลี้ยงในวัง รัชทายาททรงเป็นลม และหมอนัมที่รักษาบอกกับจางอ๊กจองว่ารัชทายาทไม่สามารถมีผู้สืบสกุลได้ ขณะที่พระมเหสีเริ่มแปลกใจที่อ๊กจองไม่ยอมให้หมอหลวงมาตรวจรัชทายาท ขณะที่กึมได้ติดตามเด็กที่จะได้เข้าวังในงานเลี้ยงพระราชทานให้เด็กชนชั้นต่ำเพื่อตามหาพระเจ้าซุกจง

เนื้อเรื่อง:




ทงอีเข้ามาห้าม และบอกกับพวกบัณฑิตหนุ่มว่า ตนเป็นพระสนมและเด็กนั่นก็คือองค์ชาย กึม ตอนแรกพวกบัณฑิตไม่ค่อยเชื่อเพราะเห็นการแต่งตัวของทงอีไม่เหมือนพระสนม แต่เมื่อคนของวังยืนยัน พวกบัณฑิตจึงรีบทูลขอให้ประทานอภัย ทงอีจึงไม่เอาเรื่อง และให้ส่งเด็กพวกนั้นกลับบ้าน
    
ทงอี ตำหนิองค์ชายกึม ที่แอบหนีออกจากวังมาโดยไม่บอกพงซังกุงกับเอจองก่อน เมื่อกลับถึงบ้าน ก็ถูกลงโทษให้ยืนกางแขน เมื่อยืนได้ชั่วยาม พงซังกุง ก็ทูลขอร้องให้ยกโทษ แต่ทงอียืนยันจะให้ยืนสองชั่วยาม จากนั้นก็พาองค์ชายกึมไปดูขบวนคณะทูต



“เสด็จแม่ พวกเราจะไปที่ไหนกันเหรอ  หรือว่า ท่านจะพาลูกไปให้กับเสือ”
    
“อะไรนะ”
    
“ก็ลูกเคยได้ยินว่า เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกเสือมาจับไป  ท่านก็เลยคิดจะให้เสือมาคาบลูกไปใช่รึเปล่า?”
    
“เจ้าก็รู้ใช่มั้ยว่าตัวเองทำผิด”
    
“เสด็จแม่ ต่อไปลูกไม่กล้าทำอีกแล้ว” องค์ชายกึม กล่าวทูล
    
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้ารู้จักสำนึก ครั้งนี้แม่ก็จะขอให้เจ้าเสือกลับป่าไปก่อน วันนี้เจ้าได้ยืนหยัดปกป้องเพื่อน ๆ แม่ภูมิใจในตัวเจ้ามาก”
    
“เสด็จแม่”

“ฮิ ๆ ไปเถอะ ระวังนะ มา นั่งตรงนี้  คราวนี้ลองมองลงไปข้างล่างนะ”

“ว้าว เสด็จแม่”


“เป็นยังไง เห็นชัดมั้ย ตอนเด็ก ๆ แม่ก็เคยพาพวกเพื่อน ๆ มาดูขบวนแห่ตรงนี้เหมือนกัน”
    
“เสด็จแม่เคยมาเหรอ?”
    
“ใช่แล้ว แถมแม่ยังเป็นหัวโจกด้วยนะ”        

“เอ๊ะ เด็กผู้หญิงจะเป็นหัวโจกได้ยังไง?”
    
“นี่  แม่เคยสอนเจ้าไว้ว่าไง ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือชนชั้นต่ำก็มีสิทธิทำอะไรได้เท่าเทียมกันนี่”
    
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่เคยสอนลูกไว้อย่างนั้น คนเราสำคัญอยู่ที่ความสามารถไม่ใช่ฐานะทางสังคม”
    
“ใช่จ้ะ”
    
“ว้าว เสด็จแม่  ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ”
    
“แต่ว่าลูกกึม เมื่อกี้คำที่เจ้าพูดกับบัณฑิตคนนั้น เจ้าเรียนมาจากที่โรงเรียนหรือ?”
    
“ไม่ใช่ ลูกอ่านมาจากหนังสือในห้องเสด็จแม่”
    
“เจ้าบอกว่าเจ้าอ่านหนังสือของแม่เหรอ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ ว้าว เสด็จแม่ คณะทูตกำลังมุ่งหน้าไปที่วังหลวงใช่มั้ย?”
    
“คงจะใช่จ้ะ”
    
“ถ้างั้น เค้าคงได้พบเสด็จพ่อใช่มั้ย?”
    
“กึม”
    
“เสด็จแม่  ท่านช่วยเล่าเรื่องของเสด็จพ่อให้ลูกฟังอีกได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“เรื่องของเสด็จพ่อเหรอ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ ทุกครั้งที่ท่านเล่าเรื่องของเสด็จพ่อให้ฟัง ข้าก็จะรู้สึกว่ามีความสุขมากเลย”
    
“ได้สิ  แม่จะเล่า วันนี้เจ้าอยากจะฟังเรื่องไหนล่ะ?”
  
เมื่อคณะทูตมาถึงวังหลวงพระเจ้าซุกจงเสด็จออกมาต้อนรับ พร้อมองค์ชายลียูน

  
“เริ่มงานได้แล้ว ได้ยินว่ารัชทายาททำหน้าที่ต้อนรับพวกท่านออกไปเยี่ยมชมนอกวัง  เป็นไงบ้าง พวกท่านชอบกันมั้ย?”
    
“ชอบมากเลยพ่ะย่ะค่ะ  รัชทายาทแนะนำของดีที่ขึ้นชื่อของโชซอน ทั้งยังทรงแต่งกลอนประทานกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“โอ้ว ขนาดนั้นเชียว”
    
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” องค์ชายลียูน ทูล
    
“องค์รัชทายาททั้งทรงพระปรีชาและสุขุม  อนาคตของโชซอนต้องรุ่งเรืองแน่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ฮะ ๆ ๆ”
    
“หึ ๆ ๆ แต่ว่า ไม่สบายตรงไหนรึเปล่ารัชทายาท”
    
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
    
“รัชทายาท ๆ ๆ ยืนเฉยอยู่ทำไมประคองเข้าไปข้างในแล้วตามหมอหลวงมาเร็วสิ” ขันที กล่าว
    
“รัชทายาท เป็นอะไรรึเปล่า รัชทายาท  รีบตามหมอหลวงมาเร็ว เร็วเข้า” พระเจ้าซุกจง ตรัส
    
“รัชทายาท”
    
“เร็วสิ”
  
มูยอลรีบมาทูลพระสนมอ๊กจอง เรื่องที่องค์ชายลียูนหมดสติไประหว่างงานเลี้ยง จากนั้น ฮีเจ จึงขอคุยกับพระสนมตามลำพัง ทูลให้วางพระทัยตอนนี้หมอนัมได้ไปถวายการรักษาแล้ว



ข้าหลวงทูลรายงานผลการตรวจองค์ชายลียูนต่อพระเจ้าซุกจง โดยหมอนัมรายงานว่าพระองค์แค่เป็นลมแดด
    
“ช้าก่อน เมื่อกี้เจ้าบอกว่าหมอนัมรักษาเหรอ?” พระมเหสีอินฮอน ตรัสถาม
    
“เอ่อ ใช่พ่ะย่ะค่ะพระมเหสี”
    
“มีอะไรเหรอพระมเหสี”
    
“เอ่อ ก็ไม่มีอะไรเพคะ”
    
“ในช่วงนี้ รัชทายาทดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย  บอกให้พวกเค้าตรวจดูอย่างละเอียดหน่อย” พระเจ้าซุกจง รับสั่ง
    
“พ่ะย่ะค่ะ”
  
พระสนมอ๊กจอง รับสั่งให้หมอนัมเข้าเฝ้าสอบถามเรื่องประชวรขององค์ชายลียูน

    
“บอกมาเร็วเข้า โรคที่เจ้าเคยบอกไว้ องค์รัชทายาทดีขึ้นรึยัง?” ฮีเจ ถาม
    
“องค์รัชทายาทมีพระวรกายอ่อนแอมาก ไม่ว่าถวายโอสถอะไร ตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“อะไรนะ ยารักษาไม่ได้งั้นเหรอ แปลว่า..”
    
“ถึงแม้..ยังเร็วไปที่จะสรุปในตอนนี้ แต่ถ้าพระวรกายขององค์รัชทายาทไม่ดีขึ้นกว่านี้ การที่จะให้กำเนิดทายาทคงไม่ง่ายพ่ะย่ะค่ะ” หมอนัม ทูล
    
“นี่หมอนัม”
    
“อะไรนะ?”
    
“พระสนม”

อินกุ๊ก ทูลถามพระมเหสีอินฮอนเรื่องที่เห็นว่าการที่หมอนัมมาถวายการรักษาองค์รัชทายาทน่าสงสัย

     
“พระราชามีรับสั่งให้หมอหลวงมาถวายการรักษาองค์รัชทายาท แต่พวกเค้ากลับปฏิเสธหมอหลวง และเจาะจงให้หมอนัมไปรักษาองค์รัชทายาทแทน” 
    
“แต่นั่นอาจเป็นเพราะช่วงนี้หมอนัมเป็นคนถวายการรักษาองค์รัชทายาทมาตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ทรงหมายความว่า แบบนี้แหละถึงยิ่งทำให้น่าสงสัยใต้เท้า” อัน ทูล
    
“ตามธรรมเนียมของวังหลวง รัชทายาทต้องรับการรักษาจากหมอหลวง แต่หลายเดือนนี้ทางตำหนักชีซอนเอาแต่เจาะจงที่จะให้หมอนัมมาถวายการรักษาแทน พระสนมฮีบินฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่รัชทายาท ถ้างั้นทำไมพระสนมฮีบิน ถึงได้เลือกที่จะให้หมอนัมที่ไม่ใช่หมอหลวง มาถวายการรักษาองค์รัชทายาท”
  
พระสนม รับสั่งให้จางฮีเจ เฝ้าจับตาหมอนัม อย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้พูดเรื่ององค์รัชทายาทออกไปอย่างเด็ดขาด

    
“ถ้ามีอะไรน่าสงสัย ข้าจะฆ่าเค้าปิดปากทันทีท่านวางพระทัยได้”
    
“เฮ้อ ถ้าหายาในโชซอนมาไม่ได้  ก็ให้ไปหาที่ต้าชิง  เราอาจจะเจอยาที่รักษารัชทายาทได้”
    
“พระสนม อย่าร้อนพระทัยเกินไปเลย ตอนนี้องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์อยู่  ขอแค่เรารักษาให้พระองค์..”
    
“ข้ารู้ดี แต่ถ้าหากว่า...พระราชาทรงรับทราบว่าองค์รัชทายาท  ผู้ที่จะมาสืบราชสมบัติ  อาจจะไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทต่อได้ เมื่อนั้น ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็จะสั่นคลอนได้”            

“พระสนม ทรงวิตกกังวลมากเกินไปรึเปล่า ในวังหลวงนี้ ยังจะมีใครมาแทนที่องค์รัชทายาทได้อีกหรือ?”
    
“แต่ที่นอกวังมี  โอรสของสนมซุกวอนไงล่ะ”
    
“แต่ว่าพระสนม  พระราชาไม่ได้เสด็จไปหา พระสนมซุกวอนมาหกปีแล้ว แล้วองค์ชายคนนั้น ก็เหมือนถูกพระราชาทิ้งไปแล้วนี่นา ดังนั้นพระสนม ทรงลืมสนมซุกวอนไปเถอะ ท่านหวาดระแวงแบบนี้มาตั้งหกปีเต็มแล้ว ทั้งที่หกปีที่ผ่านมา พระราชาไม่เคยเสด็จไปหานางเลยซักครั้งเดียว”
    
“แต่ถ้าเป็นเพราะ..พระราชาทรงยอมอดทนมาถึงหกปีล่ะ?”
    
“ทรงหมายถึง..”
    
“ถ้าหากพระราชากำลังรอโอกาสที่ไม่มีใครที่จะคัดค้าน ในการกลับมาวังหลวงของพระสนมซุกวอนอยู่ล่ะ?”
    
“พระสนม..”
    
“ข้ารู้ดีว่าพระราชาเป็นคนที่น่ากลัวเพียงไหน เหมือนที่เค้าเคยทำเพื่อข้า พระองค์อาจแกล้งทำเหมือนสลัดพระสนมซุกวอนออกไป  แต่ความจริงก็อาจใช้พระทัยเด็ดเดี่ยวอย่างน่ากลัว ทรงยอมอดทนมาถึงหกปีเต็ม แล้วค่อยพานางกลับมา  พร้อมกับลูกของนาง แบบนี้ตำแหน่งรัชทายาทก็จะสั่นคลอนได้”
  
พงซังกุงเห็นองค์ชายกึมทำลับ ๆ ล่อ ๆ เลยเข้าไปดู  

  
     
“องค์ชาย”
    
“ชู่ว์ เบา ๆ หน่อยสิ”
    
“หืม? องค์ชาย ๆ ๆ”
    
“เมื่อกี้เสด็จแม่คงจะกำลังคิดถึงเสด็จพ่อในวังหลวงอยู่แน่เลย”
    
“หา?”

“เป็นความผิดของข้าเอง  วันนี้ข้าเอาแต่ เซ้าซี้ให้เสด็จแม่เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับเสด็จพ่อให้ฟัง เลยทำให้เสด็จแม่รู้สึกเศร้าเพราะคิดถึงเสด็จพ่อแบบนี้”

“องค์ชาย”

“เสด็จแม่บอกว่า ตัวของท่านเคยทำความผิดอย่างมากต่อเสด็จพ่อ เลยทำให้เสด็จพ่อต้องเสียพระทัยมาก เป็นความผิดอะไร ไม่รู้ พงซังกุง รู้เรื่องนี้รึเปล่า ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเสด็จพ่อถึงได้กริ้วเสด็จแม่มากขนาดนั้น”

“องค์ชาย”

องค์ชายกึมเป็นเด็กฉลาด ทรงแอบเอาคัมภีร์มหาศาสตร์กับทางสายกลางของทงอีมาอ่านจนจำได้หมด เมื่ออยู่ในห้องเรียนมีเด็กชายมาล้อเรื่องที่องค์ชายกึมมีสายเลือดชนชั้นต่ำ และยังถูกไล่ออกจากวัง ทำให้องค์ชายไม่พอพระทัยจนเกิดการทะเลาะกัน จนอาจารย์ต้องเข้ามาถาม




“มีเรื่องอะไรกันหา”

“ก็เด็กพวกนี้ กล้ามาซุบซิบนินทาต่อหน้าข้า  ข้าก็เลย..”

“เลยไม่ตั้งพระทัยในห้องเรียน แล้วเอาพระทัยไปใส่กับเรื่องพวกนั้นรึ เพราะอย่างนี้ท่านถึงจำไม่ได้แม้แต่บทเรียนข้อแรกในตำราพื้นฐาน”

“ตำราพื้นฐานข้าจำได้หมดแล้ว  ทางสายกลางมหาศาสตร์ข้าก็อ่าน เป็นเพราะว่าท่องจำตำราพื้นฐานได้จนขึ้นใจแล้ว แต่อาจารย์กลับยังอธิบายซ้ำอยู่..” องค์ชายกึม ตรัส

“โอ้โห.. ท่านคิดจะเอาข้ออ้างเหลวไหลแบบนี้มาปัดความผิดงั้นหรือ ถึงท่านจะเป็นถึงองค์ชายก็เถอะ..”

“ถ้างั้น  อาจารย์ลองทดสอบข้าดูก็ได้”  

“หืม?”

“ทำไมว่าข้าอ้างโดยไม่ทดสอบข้าล่ะ”  

“ฮะ ๆ ๆ แฮ่ม เอางั้นก็ได้  ถ้างั้น อาจารย์จะสอบท่านเอง เริ่มจากบทเรียนนี้ มีคุณธรรมหก”

“คุณธรรมหกประการ ของผู้มีคุณธรรม มีปัญญา เมตตา บริสุทธิ์ มโนธรรม ภักดี ปรองดอง”

“ว้าว ๆ ๆ..”

“ต่อมา เป็นบทปิยวาจา  จิตใจ..”

“ใจของสุภาพชน บริสุทธิ์เหมือนดังน้ำ  ต้องกว้างและลึกดังมหาสมุทร และยังต้องมีปัญญาเหมือนสายน้ำไหล”

“เก่งจังเลย ๆ ๆ”

“ฮะแฮ่ม งั้น ถ้าอย่างนั้น บทแห่งความดีนี้บ้าง หวังเอี๋ยน”

“หวังเอี๋ยนแห่งซีจิ้น ปรนนิบัติด้วยสีหน้า  กล่าวคือเกิดเป็นคนต้องรับใช้พ่อแม่ ด้วยสีหน้าที่อบอุ่นและด้วยความปีติยินดี”

“โอ้ สุดยอด ท่องต่อได้ด้วย เก่งจริง ๆ ด้วย”

อาจารย์สอนหนังสือทึ่งในความสามารถขององค์ชายกึมที่รู้หนังสือ ถึงมาทูลถามทงอีว่าได้เคยสอนคัมภีร์มหาศาสตร์กับทางสายกลางให้องค์ชายหรือไม่


“ไม่เคยเลย  ข้าเห็นว่าองค์ชายอ่านหนังสือได้เร็วก็เลยให้เค้าอ่านตำราศึกษาพื้นฐานบ้าง  แต่ยังไง ก็คิดว่าควรให้เค้าไปโรงเรียนเลยไม่ได้สอนอะไรมาก”

“อืม..ก็หมายความว่า เนื้อหาทั้งหมดนี้องค์ชายทรงอ่านคัมภีร์มหาศาสตร์และทางสายกลางเหล่านั้น และเข้าพระทัยได้เอง?”

“นี่ท่านบอกว่ามหาศาสตร์กับทางสายกลางหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่แค่ตำราขั้นพื้นฐาน กระหม่อมเองก็ยังตกใจมาก จึงมาทูลถามให้แน่ใจ ว่าองค์ชายทรงเข้าพระทัยเนื้อหาในคัมภีร์เหล่านั้นจริง”

ในวังจะมีการจัดเลี้ยงคณะทูต แล้วพระเจ้าซุกจงทรงอนุญาตให้เด็กชนชั้นต่ำได้เข้าไปงานเลี้ยงในวังด้วย องค์ชายกึม จึงคิดที่จะปลอมตัวเป็นเด็กชายทั่วไปเพื่อเข้าวังหลวงเพื่อไปพบเสด็จพ่อเพื่อทูลอะไรบางอย่าง



เอจอง เข้ามาทูลทงอี เรื่องที่องค์ชายกึม หนีเข้าไปที่วังหลวง หลังจากไม่พบที่โรงเรียน โดยเด็ก ๆ ที่เล่นด้วยกันบอกว่าได้เข้าไปวังหลวงกับเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง

หลังจากเข้ามาในวังหลวงแล้วองค์ชายกึม รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตและสวยงามของวัง จากนั้นก็ออกไปตามหาพระเจ้าซุกจงที่ตำหนักใหญ่ ด้านทงอี เรียกจองซังกุง กับ นัมซังกุง มาพบเพื่อให้ช่วยตามหาองค์ชายกึม ทั้งสองรายงานว่า ตอนนี้  ยูซังกุงกำลังพานางในออกไปตามหาองค์ชายอยู่ และใต้เท้าชิมก็ไปพบท่านแม่ทัพองครักษ์เพื่อขอให้ช่วยหาอีกแรงแล้ว

เมื่อใต้เท้าซอ รู้เรื่ององค์ชายกึมเข้าวังจากวูนเทคก็ตกใจ


“อะไรนะ องค์ชายเข้ามาในวังรึ?”

“ขอรับใต้เท้า ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ในวังคงวุ่นวายกันใหญ่แน่  เราต้องรีบตามหาองค์ชายให้พบกันก่อน”

“ผู้คุมนัม  นายกองฮวัง” ใต้เท้าซอ กล่าว

“ขอรับใต้เท้า ไปกันเถอะ”

“อย่าให้ทางตำหนักชีซอนรู้เชียวล่ะ พวกเจ้าต้องตามหาให้เงียบที่สุด” ยูซังกุง สั่งอึนกึมและชิบิ

“ค่ะท่านซังกุง”

องค์ชายกึม เดินเข้าไปจนถึงตำหนักจอง ที่ประทับขององค์รัชทายาทลียูน เมื่อเห็นลียูนก็คิดว่าเป็นพระเจ้าซุกจง จึงตะโกนเรียกเสด็จพ่อ แต่ก็ถูกทหารจับตัวไว้ได้


“ปล่อยนะ เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ”

“เด็กบ้า คิดจะทำอะไร”

“ปล่อยข้า ข้าจะไปพบเสด็จพ่อ เสด็จ   พ่อ ๆ ๆ องค์รัชทายาทเหรอ” องค์ชายกึม กล่าว

“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้เสียงดังนัก” องค์ชายลียูน ตรัสถาม

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนี้แอบเข้ามาร้องโวยวาย กระหม่อมกำลังไล่เขาออกไป”

“เมื่อกี้ เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพ่อเหรอ ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียกข้าอย่างนี้”

“ข้า ข้าคือ..”


“เจ้าเป็นเด็กชนชั้นต่ำ คงจะไม่ค่อยรู้สินะ  คนที่จะเรียกพระราชาว่าเสด็จพ่อได้น่ะมีแต่..พระโอรสพระธิดา ถ้าหากเจ้าไปเรียกแบบนี้ เจ้าอาจจะถูกโบยโทษฐานที่ลบหลู่เบื้องสูง ต่อไประวังหน่อยนะ ข้าได้ยินว่า วันนี้ในวังจัดงานเลี้ยงให้เด็กชนชั้นต่ำ เค้าคงจะมางานเลี้ยงแล้วหลงทาง ก็ปล่อยเค้าไปเถอะ” องค์ชายลียูน ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ  เอาล่ะไปได้แล้ว”

“ข้าไม่ได้เป็นชนชั้นต่ำนะ อีกอย่างนึง  ข้าก็รู้ว่าคนที่จะเรียกพระราชาว่าเสด็จพ่อได้ มีแต่พระโอรสหรือว่าพระธิดาเท่านั้น  ข้า ข้าเป็น”

“รัชทายาท” พระสนมอ๊กจอง เสด็จออกมา

“เสด็จแม่”

“มีเรื่องอะไรเหรอรัชทายาท นี่มันอะไรกัน แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกันหา?”

“เด็กคนนี้บุกเข้ามาตำหนักใหญ่ แล้วขวางทางองค์ชายรัชทายาทไว้” ทหาร กล่าว

“แล้วพวกเจ้ายังทำอะไรกันอยู่ เด็กชนชั้นต่ำ บุกเข้ามาในวังแถมมาขวางองค์รัชทายาท รีบเอาตัวมันไปโบยสิ”


“เสด็จแม่ แค่เรื่องเล็กนิดเดียวเอง อย่าใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ  พาเค้าออกไปตามที่ข้าสั่งเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ ไปเร็วเข้า”

“ปล่อยข้านะ ข้าบอกให้ปล่อยไง ปล่อยข้านะ  ปล่อยข้าไปนะ ปล่อยข้า ๆ”

“เชิญเสด็จเถอะ”

องค์ชายกึมถูกทหารจับตัวออกมา โดยพยายามขัดขืน และบอกว่าจะเข้าเฝ้าพระราชา

“หนอย นี่เจ้าเป็นบ้ารึไงหา อายุแค่นี้ก็เป็นบ้าซะแล้วเหรอ รีบไสหัวไปดีกว่า ก่อนที่ก้นจะลายน่ะ”

“พวกเจ้าแหละหลีกไป ข้าเป็นองค์ชายนะ ข้าต้องการพบพระราชา ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ข้าจะไปเข้าเฝ้า..”

ในช่วงกลางคืนพระเจ้าซุกจงแต่งชุดสามัญชนออกตรวจราชการกับขันที พบองค์ชายกึมนั่งร้องไห้อยู่ก็เข้าไปถาม


“ทำไมเจ้าถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ เอ้ารับไปซะ รับสิ พอดีข้าได้ยินเสียงมาจากกำแพงวังก็เลยมาดู ที่แท้ก็เป็นลูกหมาตัวน้อยอยู่นี่นี่เอง  ข้าเคยเจอลูกหมาน้อย ที่มันน่ารักมากตัวใหญ่กว่าเจ้าหน่อยนึงที่นี่ เอาละ ถ้าเจ้าร้องไห้พอแล้ว ก็ลุกขึ้นได้แล้ว อืม เจ้าคงจะหลงทางใช่มั้ย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปส่งบ้านเอง ใต้เท้าฮัน” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“แล้วท่าน เป็นใครกันรึ? ดูท่าทางท่าน เหมือนจะเป็นสุภาพชนที่ดี ไหนบอกมาสิว่า ท่านชื่อว่าอะไร”

“อะไรนะ?”

“ข้าไม่อยากลืมบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าวันนี้ เพราะฉะนั้น ท่านสามารถบอกชื่อของท่านมาได้เต็มที่” องค์ชายกึม ถาม

“โฮะ เจ้าเด็กคนนี้ซ่าจริง ๆ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ?”

“หนอยแน่ะ เจ้าเด็กคนนี้เหรอ นี่เจ้ารู้มั้ยว่า ข้าเป็นใครถึงได้กล้ามาเสียมารยาทด้วยแบบนี้”

“นี่เจ้า..” ขันที กล่าว

“เอาละ  ข้าก็อยากจะรู้ว่า เจ้าเป็นใครกันแน่ ถึงได้บอกว่าข้าเสียมารยาทน่ะ”

“ข้าน่ะ เป็นองค์ชาย”



“หืม?”

“เข้าใจรึเปล่า  ถึงข้าจะแต่งตัวแบบนี้อยู่  แต่ข้าก็เป็นสายเลือดพระราชา เป็นองค์ชายแห่งโชซอน”

“กึม กึม กึม เจ้าอยู่ไหน?” ทงอี ตะโกนหา

“ฝ่า..”

“รอเดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นใคร?”

“ข้าบอกว่าเป็นองค์ชาย”

“เจ้า..เจ้าเป็นองค์ชาย ถ้าอย่างนั้นก็เป็น...”

“กึม ๆ” ทงอี เรียก

“เสด็จแม่ ๆ”

“ฝ่า...ฝ่าบาท” ขันที กล่าว แล้วพาพระเจ้าซุกจง ไปแอบซุ่มดูทั้งสอง



“กึม เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า ลูกเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” ทงอี วิ่งเข้ามาถาม

“เสด็จแม่ ลูกผิดไปแล้ว ลูกรู้ว่าลูกทำผิด”

“ไม่เป็นไร กึม ไม่เป็นไร ดีจังที่เจ้าปลอดภัย ขอบคุณที่ลูกปลอดภัย เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เจ้าหายไปไหนมาหา ทำไมหน้าตาถึงเป็นอย่างนี้?” ทงอี กล่าว

พระเจ้าซุกจง เห็นสองแม่ลูกกอดกันแต่ไม่สามารถออกไปหาทั้งสองได้

“ฝ่าบาท” ขันที กล่าวทูล

“เจ้าก็เห็นใช่รึเปล่า? ซุกวอนอยู่ตรงหน้าของข้าแล้ว  กึม เด็กคนนั้นก็มาอยู่ต่อหน้าข้าแล้ว เจ้ารู้มั้ยว่าข้าคิดถึงพวกเค้ามากแค่ไหน เจ้ารู้มั้ยว่า...ข้าอยากกอดเค้าไว้มากแค่ไหน ลูกชายของข้า”
 
“ฝ่าบาท”
 
“เค้าเติบโตอย่างแข็งแรง เค้าเติบโตขึ้นมาอย่างดี”

ทงอี พาองค์ชายกึม กลับมาที่บ้านพัก องค์ชายขอให้ทงอีลงโทษตน  



“แม่เข้าใจ  เพราะแม่เข้าใจดีว่า ทำไมเจ้าทำแบบนั้น แต่จำเอาไว้นะ ต่อไปอย่าไปทำแบบนั้นอีก อย่าได้เข้าไปในวังอีกนะ”
 
“แต่ว่าลูกอยากไปเจอเสด็จพ่อนี่ ลูกอยากไปขอให้เสด็จพ่ออภัยโทษให้ เสด็จแม่ ลูกอยากจะได้เห็นเสด็จพ่อใกล้ ๆ สักครั้ง ถึงแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ยังดี”
 
“กึม แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้น เจ้าก็จะทำให้ เสด็จพ่อยิ่งเจ็บปวดพระทัยมากขึ้นนะ”
 
“ทำไมล่ะ ทำไมลูกถึงจะไปพบกับเสด็จพ่อไม่ได้ ทำไมลูกทำแบบนั้นแล้วจะทำให้เสด็จพ่อต้องเจ็บปวดพระทัย”
 
“นั่นก็เพราะว่า ลูกเป็นเด็กที่น่ารักมากยังไงล่ะ ถ้าหากเสด็จพ่อ ได้มาพบกับเจ้าแบบนี้ ท่านต้องตัดพระทัยจากเจ้าไม่ลงแน่ ถ้าเป็นแบบนั้น เสด็จพ่อก็จะต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุดเหมือนเมื่อหลายปีก่อนมาสิ กึม”

จองกึมเข้ามารายงานพระมเหสีอินฮอน เรื่องที่หมอนัมมีการนำยามาจากที่บ้านและถวายยาที่ปรุงเองไปที่ตำหนักองค์รัชทายาทมาตลอด


“ไม่ผิดพลาดแน่นะ”
 
“เพคะพระมเหสี  หม่อมฉันรู้มาจากหมอหญิงที่หมอนัมเรียกใช้อยู่เป็นประจำ”
 
“ฮีบินต้องมีเรื่องที่ปิดบังเอาไว้สินะ องค์รัชทายาทคงจะเป็นโรคอะไรที่ให้คนรู้ไม่ได้แน่” พระมเหสีอินฮอน ตรัส

ยูนซังกุง ได้ยาที่พระสนมสั่งมาจากต้าชิง ก็สั่งให้ยางซอน รีบนำไปถวายพระสนมฮีบิน ทันที ด้านโฮยาง เห็นทงอีออกมาจากวังหลวง 6 ปี แล้ว แต่นางยังสวยอยู่ จึงคิดที่จะรับเลี้ยงนาง แต่แทพุงตำหนิลูกชายที่กล้าไปคิดกับพระสนมแบบนั้นได้อย่างไร


ทงอี เรียกองค์ชายกึมมาพบ ถามเรื่องที่เอาคัมภีร์มาจากห้องของตน


“ก็ลูกอยากอ่าน ตำราพื้นฐาน ตอนที่เสด็จแม่สอนลูกลูกก็จำได้หมดแล้ว มันไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ก็เลย...”
 
“เจ้าก็เลยอ่านคัมภีร์พวกนี้ด้วยตัวเองรึ  ทั้งคัมภีร์ทางสายกลางและมหาศาสตร์น่ะ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะ”
 
“ถ้าอย่างนั้นกึม เจ้าลองพูดสิ่งที่เจ้าเข้าใจให้แม่ฟังได้รึเปล่า”
 
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
 
“คัมภีร์มหาศาสตร์ ใจไม่อยู่กับตัว มองเห็นเหมือนไม่เห็น ฟังเหมือนไม่ได้ยิน กินแต่เหมือนไม่รู้รส หมายความว่าอะไรหา?”
 
“อืม...ถ้าใจไม่อยู่กับตัว แม้จะมองก็เหมือนไม่เห็น แม้จะฟังก็ไม่เข้าใจ แม้ยามกินก็ไม่อาจรับรู้รสได้เต็มที่”
 
“สรรพสิ่งมีต้นปลาย มีเริ่มต้นสิ้นสุด เมื่อรู้ก่อนหลัง จึงเข้าใกล้กับธรรม เข้าใจมั้ย?”
 
“เรื่องราวทุกอย่างมีลำดับขั้น มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด หากเข้าใจในลำดับก่อนหลังเหล่านั้น ก็จะเข้าใกล้กับธรรมะ ตอบไม่ถูกหรือ? หรือว่าที่ลูกเข้าใจมามันผิดทั้งหมดเลย?” องค์ชายกึม กล่าว


เอจอง และ พงซังกุง แปลกใจที่องค์ชาย กึมสามารถอ่านและเข้าใจตำรามหาศาสตร์กับทางสายกลางได้อย่างคล่อง ด้วยวัยเพียงเจ็ดชันษา ทั้ง ๆ ที่คัมภีร์เหล่านี้แม้แต่พวกบัณฑิตสอบรับราชการยังรู้สึกว่ายาก ทงอีเลยบอกทั้งสองว่าจะไม่ส่งองค์ชายไปที่โรงเรียนอีก
 
“จะให้ใครมารู้เรื่องความสามารถองค์ชาย ไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป   องค์ชายก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้” ทงอี กล่าว จากนั้นก็จะไปรับองค์ชายจากโรงเรียนด้วยตนเอง

พระเจ้าซุกจง ได้พบทงอี และองค์ชายกึม แต่ไม่สามารถพบหน้าทั้งสองได้ วันต่อมาจึงปลอมตัวเป็นสามัญชนมาหาองค์ชายกึมที่โรงเรียนและชวนกันวิ่งเล่นจนเหนื่อย



“เดี๋ยว ๆ ๆ เดี๋ยวก่อน ๆ พักสักหน่อยค่อยไป” พระเจ้าซุกจง ตรัส
 
“ท่านไหวรึเปล่า เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกแต่อ่อนแอจัง เพราะเป็นชนชั้นสูงเหรอ เพิ่งจะวิ่งแค่นิดเดียวเอง จิ๊ ๆ” องค์ชายกึม กล่าว ทำให้พระเจ้าซุกจง คิดถึงช่วงในอดีตที่โดนทงอีว่า
 
“องค์ชายตรัสเหมือนกันไม่มีผิดเลยนะเนี่ย  กระหม่อม เป็นผู้ช่วยของเจ้าเมือง ขอถวายพระพรแด่องค์ชาย ฮะ ๆ” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“อย่างนั้นเหรอ?” องค์ชายกึม ถาม

“แน่อยู่แล้ว”
 
“แสดงว่าท่านก็เคยโดดเรียนเหมือนกันสิ”
 
“กระหม่อมกระโดดขึ้นลงกำแพงเป็นว่าเล่นเชียว” พระเจ้าซุกจง ตรัส
 
“จริงเหรอ ดูไม่ออกเลยว่าท่านเองก็แข็งแรง”
 
“แฮ่ม”
 
“แต่ถ้าไม่เข้าเรียนแล้วจะทำอะไร  ถ้ากลับบ้านไปตอนนี้ ข้าต้องถูกด่าแน่เลย”
 
“ไม่เห็นต้องห่วงเลยพ่ะย่ะค่ะ ท่านก็แค่ไปกับกระหม่อมไงพ่ะย่ะค่ะ”
 
“ไปกับท่านเหรอ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะ”


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา